เมื่อได้รับหมายศาล ถูกฟ้องคดีชู้ จะต้องแก้ไขปัญหาอย่างไร เราจะต้องไปศาลเองไหม มีแนวทางการต่อสู้คดีอย่างไรบ้าง กระบวนการจะเป็นแบบไหน จะต้องเสียเงินเท่าไหร่ ?
วันนี้ผมจะเล่าให้ฟังครับ
สิ่งที่คุณจะต้องทำเป็นอันดับแรก เมื่อ ถูกฟ้องคดีชู้
1.หากมีความสัมพันธ์จริงต้องหยุดความสัมพันธ์ในทันที
เมื่อคุณได้รับหมายศาลถูกฟ้องว่าเป็นชู้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ก็ตาม สิ่งแรกที่คุณควรทำก็คือ ต้องรีบยุติหรือลดระดับความสัมพันธ์กับบุคคลที่คุณถูกกล่าวหาว่าเป็นชู้ด้วย
หากคุณเกิดไปมีความสัมพันธ์กับบุคคลใดโดยที่ไม่รู้ว่าบุคคลนั้นมีคู่สมรสอยู่แล้ว คุณควรจะต้องเลิกหรือหยุดความสัมพันธ์ทันที
หรือถึงคุณไม่ได้มีความสัมพันธ์ในทำนองชู้สาวอาจจะเป็นแค่เพื่อนที่รู้จักกัน เพื่อนร่วมงาน คู่ค้าทางธุรกิจ ที่ถูกทางคู่สมรสเข้าใจผิดคุณก็ควรลดระดับความสัมพันธ์ หรือรักษาระยะห่างระหว่างกันไว้
ทั้งนี้เพราะพฤติการณ์ของคุณภายหลังถูกฟ้องคดีก็เป็นประเด็นสำคัญที่ศาลจะนำมาเป็นประเด็นในการกำหนดค่าเสียหายให้กับฝ่ายโจทก์
หากคุณถูกฟ้องแล้วยังไม่เกรงอำนาจศาล ยังคงไปมีความสัมพันธ์กับบุคคลที่รู้ว่ามีคู่สมรสอยู่แล้ว ย่อมทำให้เป็นเหตุทำให้ศาลกำหนดค่าเสียหายให้กับฝ่ายโจทก์สูงขึ้น
แต่ในทางกลับกันหากคุณถูกฟ้องแล้วคุณได้ยุติความสัมพันธ์ทันที ได้เลิกยุ่งเกี่ยวในทำนองชู้สาวหรือตีตัวออกห่างรักษาระยะห่าง ย่อมเป็นเหตุทำให้ศาลอาจจะเมตตากำหนดค่าเสียหายให้ฝ่ายโจทก์น้อยลง
ดังนั้นสิ่งแรกที่ควรจะต้องเริ่มทำภายหลังจากได้รับหมายศาลก็คือการยุติความสัมพันธ์กับบุคคลที่มีคู่สมรสอยู่แล้วนั่นเอง
2.ห้ามโอนย้ายทรัพย์สินหนีหนี้
หลายคนเมื่อถูกฟ้องร้องดำเนินคดีเรื่องชู้ แทนที่จะหาวิธีแก้ไขปัญหาหรือต่อสู้คดี
แต่กลับคิดหาวิธีหลบเลี่ยงปัญหา ด้วยการยักย้ายถ่ายเททรัพย์สินที่ตนเองมี เช่นบ้าน รถ ที่ดิน หรือทรัพย์สินอื่นเป็นชื่อบุคคลอื่นหรือบุคคลใกล้ตัวเพื่อป้องกันไม่ให้ถูกยึดทรัพย์
วิธีการดังกล่าวเป็นวิธีการแก้ไขปัญหาที่ผิดเป็นอย่างมาก เพราะความจริงแล้วในคดีเรื่องชู้ศาลจะไม่ได้ตัดสินให้เป็นเงินจำนวนมากมาย หากพฤติกรรมไม่ได้ร้ายแรง
การโอนทรัพย์สินหรือหนี้อาจจะไม่ได้จำเป็น เพราะคุณอาจจะไม่ได้ต้องเสียเงินมากมายจนไม่มีจ่าย
ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าคุณโอนทรัพย์สินหนีหนี้แล้วฝ่ายโจทก์ทราบเรื่องคุณอาจจะถูกฟ้องร้องดำเนินคดีอาญาในข้อหาโกงเจ้าหนี้อีกด้วย
แทนที่จะถูกฟ้องเป็นคดีแพ่งอย่างเดียวกับจะต้องถูกฟ้องคดีอาญาเพิ่มอีก ดังนั้นจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำเป็นอย่างมาก
3.เก็บหลักฐานต่างๆในทันที
หากคุณมั่นใจว่าคุณไม่ได้กระทำการต่างๆตามที่ฝ่ายโจทก์กล่าวหา ไม่ได้เป็นชู้หรือแสดงตนโดยเปิดเผยว่ามีความสัมพันธ์ในทำนองชู้สาว
หรือคุณอาจจะกระทำผิดพลาดไปโดยไม่รู้ว่าเขามีคู่สมรสอยู่แล้ว ไม่มีเจตนาจะไปยุ่งเกี่ยวกับคนที่มีคู่สมรส
กรณีเช่นนี้คุณจะต้องรีบเก็บรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆในทันที เช่นแชทไลน์ที่คุยกันกับบุคคลดังกล่าว แชทไลน์ที่คุยกับบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้อง หลักฐานการสนทนาผ่านโทรศัพท์ และหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้อง
ทั้งนี้เพราะการเก็บพยานหลักฐานตั้งแต่เนิ่นๆก่อนคดีจะถึงการพิจารณาซึ่งเป็นเหตุการณ์เกิดขึ้นใหม่ๆทำให้คุณยังจดจำเรื่องราวต่างๆและลำดับเหตุการณ์ได้ดี
และพยานหลักฐานบางอย่างหากปล่อยเนิ่นช้าไปก็จะเป็นการยากต่อการเก็บรวบรวมในภายหลังเช่นหลักฐานการสนทนาผ่าน line หรือหลักฐานการเข้าพักกล้องวงจรปิดตามสถานที่ต่างๆเป็นต้น
ในช่วงนี้หากคุณพอมีเวลา และพอตั้งสติได้ ผมอยากให้พิมพ์หรือเขียนเรื่องราวตั้งแต่เริ่มรู้จักคู่กรณี จนกระทั่งถูกฟ้องคดี เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการดำเนินการขั้นตอนต่อไป
โดยการเขียนเล่าเรื่องราวจะมีประโยชน์หลายอย่างกล่าวคือ จะเป็นการเตือนความจำของคุณเองเมื่อเวลาผ่านไป เพราะยิ่งเวลาผ่านไปนาน เราก็มักจะจำเหตุการณ์ทั้งหมดไม่ได้ชัดเจนนัก
และเป็นการเรียบเรียงและทบทวนเรื่องราวไปอีกทางหนึ่งด้วย นอกจากนั้นจะเป็นประโยชน์ในการทำงานของทนายความของคุณเป็นอย่างมาก เพราะทนายความจะได้ตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้นจากเรื่องที่คุณเรียบเรียงมาได้เลย
4.รีบมาติดต่อทนายความ
ทั้งนี้เมื่อคุณได้รับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องแล้ว คุณจะต้องยื่นคำให้การภายในกำหนด 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับหมายเรียก
ดังนั้นหลังจากที่คุณรวบรวมพยานหลักฐานและข้อเท็จจริงต่างๆเรียบร้อยแล้วคุณควรรีบมาหาทนายความทันที เพื่อให้ทนายความเตรียมทำคำให้การให้กับคุณ
โดยเมื่อคุณมาพบกับทนายความแล้วคุณควรเล่าความจริงทั้งหมดให้กับทนายความฟัง ห้ามปิดบังเด็ดขาด
ทั้งนี้ทนายความต้องการข้อเท็จจริงที่เป็นความจริงทั้งหมดจากคุณ เพื่อที่จะตั้งรูปต่อสู้คดีและหาแนวทางแก้ไขปัญหาให้กับคุณได้อย่างถูกต้อง
หากคุณโกหกหรือไม่เล่าความจริงทั้งหมดให้กับทนายความฟัง ทนายความอาจจะตั้งรูปคดีผิดพลาด หรือหาทางแก้ไขปัญหาให้คุณแบบผิดวิธีไม่ตรงกับความจริงซึ่งจะเป็นผลเสียต่อคุณในภายหลังครับ
แนวทางการต่อสู้คดีชู้ มีอย่างไรบ้าง
แนวทางการต่อสู้คดีในคดีฟ้องชู้มีหลากหลาย แค่ผมสามารถแบ่งออกโดยสังเขป ออกเป็น 5 แนวทาง คือ
1.ไม่ได้มีความสัมพันธ์ในทำนองชู้สาวเลย
ในกรณีนี้คือกรณีที่เราไม่ได้เป็นมีความสัมพันธ์ในทำนองชู้สาวกับคู่สมรสของโจทก์เลย โดยอาจจะเป็นเพียงเพื่อนร่วมงาน เป็นเพื่อนเรียน หรือเป็นคู่ค้าทางธุรกิจกัน ไม่ได้มีความสำคัญใดในทำนองชู้สาว เป็นเพียงเรื่องเข้าใจผิดของโจทก์เองเท่านั้น
ซึ่งกรณีนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นไม่บ่อยนักเพราะธรรมดาแล้วก่อนทนายความโจทก์ยื่นฟ้องก็จะต้องมีพยานหลักฐานหรือสืบหาข้อมูลมาเบื้องต้นพอสมควรว่า ตัวเรากับคู่สมรสของโจทก์มีความสัมพันธ์ในทำนองชู้สาวกันจริงจึงได้ยื่นฟ้องมา
แต่หากเรามั่นใจว่าเราไม่ได้มีความสัมพันธ์เกินเลยไปในทำนองชู้สาวจริง ก็สามารถต่อสู้คดีไปตามความจริงได้เลยครับ
2.ยอมรับว่ามีความสัมพันธ์ในทำนองชู้สาวจริงแต่ไม่ได้เปิดเผย
ประเด็นข้อต่อสู้นี้จะใช้สู้ได้เฉพาะในกรณีที่เราเป็นฝ่ายหญิงที่ไปยุ่งเกี่ยวกับสามีของบุคคลอื่นที่มีคู่สมรสแล้วเท่านั้น
ทั้งนี้เพราะในกรณีที่ภรรยาที่จดทะเบียนสมรสจะฟ้องหญิงชู้เป็นจำเลยได้นั้น พฤติการณ์ตอนเป็นชู้จะต้องมีพฤติกรรมเปิดเผย ให้มีบุคคลอื่นรับรู้รับทราบพอสมควรไม่ใช่เป็นเพียงการแอบคบหา หรือมีความสัมพันธ์เพียงชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น
ดังนั้นในกรณีที่เราเป็นฝ่ายหญิงที่ไปยุ่งเกี่ยวกับสามีของโจทก์ หากพฤติกรรมเป็นชู้ของเราไม่ได้เป็นการเปิดเผยไม่มีบุคคลอื่นรู้หรือเป็นเพียงความสัมพันธ์เพียงชั่วคราว เราก็สามารถหยิบยกประเด็นนี้ขึ้นต่อสู้ได้ (เป็นช่องว่างทางกฎหมาย)
แต่กันในกรณีที่เราเป็นฝ่ายชายที่ไปยุ่งเกี่ยวกับภรรยาของผู้อื่น เราไม่สามารถยกประเด็นนี้ขึ้นต่อสู้ได้แต่อย่างใด
เพราะกรณีที่สามีที่จดทะเบียนสมรสจะฟ้องชายอื่นที่มายุ่งเกี่ยวกับคู่สมรสของตนนั้นถึงแม้การเป็นชู้จะไม่เปิดเผยหรือไม่มีบุคคลอื่นรับรู้สามีก็สามารถฟ้องได้
สามารถอ่านรายละเอียดในประเด็นนี้เพิ่มเติมได้ในบทความดังต่อไปนี้ครับ
รู้หรือไม่ ? การฟ้องชายชู้ กับ การฟ้องหญิงชู้ มีหลักเกณฑ์แตกต่างกัน
3.ยอมรับผิดตามฟ้องจริงแต่ขอลดจำนวนเงินค่าทดแทนลง
ในกรณีที่เราทราบว่าทำความผิดจริงได้ไปมีความสัมพันธ์หรือแสดงตนโดยเปิดเผยว่ามีความสัมพันธ์ในทำนองชู้สาวกับคู่สมรสของโจทก์จริง อาจจะเป็นเพราะความผิดพลาดเผลอเรอ หรือเป็นเพราะเหตุใดก็ตาม
กรณีแบบนี้เราควรยอมรับผิดและขอชดใช้เงินให้กับโจทก์ตามสมควร โดยอาจจะสู้ประเด็นเรื่องค่าเสียหายว่าพฤติกรรมการกระทำความผิดการเป็นชู้ไม่ร้ายแรงนัก ปัจจุบันก็เลิกคบหากับสามีโจทก์แล้ว เราเป็นบุคคลรายได้น้อยไม่มีทรัพย์สินเป็นจำนวนมาก ครอบครัวของโจทก์ไม่ได้มีหน้ามีตาทางสังคมมาก ขอต่อสู้คดีเพื่อลดจำนวนเงินค่าเสียหายตามฟ้องโจทก์
4.สู้ว่ามีความสัมพันธ์จริงแต่ไม่รู้ว่ามีคู่สมรสอยู่แล้ว
ในกรณีที่เราไม่ทราบว่า คู่สมรสของโจทก์ได้มีทะเบียนสมรสหรือได้มีคู่รักอยู่ก่อนแล้ว อาจจะเป็นเพราะขณะที่คู่สมรสของโจทก์มาจีบหรือมาคบหากับเรานั้นไม่ได้บอก หรือมีพฤติกรรมอื่นที่ทำให้เราไม่ทราบว่าเขามีคู่สมรสอยู่แล้ว
กรณีนี้ตามกฎหมาย ก็ยังถือว่าฝ่ายโจทก์ยังมีสิทธิ์ฟ้องเรียกค่าทดแทนจากเราได้ เราไม่สามารถอ้างเหตุนี้มาเป็นเหตุปัดความรับผิดไม่ต้องรับผิดตามกฎหมายแต่อย่างใด
แต่อย่างไรก็ตามหากเราสามารถต่อสู้คดีแนะนำสืบไปตามความจริงได้ว่าเราไม่รู้ว่าเขามีคู่สมรสอยู่แล้วค่าเสียหายที่ศาลจะกำหนดให้ก็จะลดน้อยเป็นอย่างมากเพราะถือว่าเราไม่มีเจตนาครับ
5.ต่อสู้เรื่องอายุความ
ธรรมดาแล้วเรื่องคดีฟ้องชู้นั้นมีกำหนดอายุความ 1 ปี ดังนั้นหากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคดีนี้มีเวลาเกินกว่า 1 ปีแล้ว แล้วโจทก์เองก็รับทราบเรื่องนี้มาเป็นเวลาเกินกว่า 1 ปีย่อมถือว่าคดีขาดอายุความซึ่งเราสามารถยกประเด็นนี้ขึ้นต่อสู้ได้ครับ
การต่อสู้คดีในลักษณะไหนนั้นย่อมขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่คุณได้ นำมามอบให้กับทนายความ ซึ่งอย่างที่บอกตอนต้นแล้วว่าการเล่าความจริงทั้งหมดให้กับทนายความฟังเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะจะทำให้ทนายความสามารถตั้งรูปต่อสู้คดีได้ถูกต้องตามความเป็นเท็จจริง
ตัวอย่างเช่น หากคุณปกปิดทนายความเช่นบอกว่าไม่ได้มีความสัมพันธ์ในทำนองชู้สาวเลย แต่ปรากฏพยานหลักฐานในชั้นศาลว่ามีหลักฐานการเป็นชู้หรือมีชู้กันจริงก็จะทำให้คุณเสียประโยชน์และอาจจะมีความผิดฐานเบิกความเท็จอีกด้วย
กระบวนการในศาลเป็นอย่างไร
ธรรมดาแล้วนัดวันขึ้นศาลนัดแรก จะเป็นนัดไกล่เกลี่ย ซึ่งตัวจำเลยถ้าแต่งตั้งทนายความไว้แล้ว จะไปศาลหรือไม่ไปศาลก็ได้
เพราะธรรมดาแล้วทนายความย่อมมีหน้าที่จะต้องไปศาลแทนจำเลยในนัดแรกอยู่แล้ว โดยหากคุณติดธุระอะไรหรือทนายความผิดนัดว่าความในคดีอื่นอยู่แล้วก็จะสามารถเลื่อนคดีได้ 1 ครั้งเป็นเรื่องปกติ
อย่างไรก็ตามการที่คุณไปเข้าร่วมการเจรจาไกล่เกลี่ยด้วยตนเอง ส่วนใหญ่แล้วมักจะทำให้การไกล่เกลี่ยประสบความสำเร็จและคดีจบลงโดยเร็ว มากกว่าการที่จะส่งทนายความไปอย่างเดียว เพราะธรรมดาแล้วตัวคุณย่อมเป็นคนที่รู้เรื่องราวดีที่สุด และสามารถตัดสินใจในการไกล่เกลี่ยได้ดีที่สุด
นัดเจรจาไกล่เกลี่ยนัดแรกนี้ ศาลแต่งตั้งเป็นผู้ประนีประนอมคดีครอบครัวขึ้นมาเพื่อทำการไกล่เกลี่ยให้ทั้งสองฝ่ายสามารถหาข้อตกลงกันได้
หากทั้งสองฝ่ายสามารถตกลงกันได้ก็จะทำสัญญาประนีประนอมยอมความและทุกฝ่ายมีหน้าที่จะต้องปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความฉบับนั้น
ตัวอย่างเช่นการทำสัญญาประนีประนอมยอมความว่าจำเลยจะยอมชดใช้เงินจำนวน …. บาท
หรือทำสัญญาประนีประนอมยอมความว่าจำเลยจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับคู่สมรสของโจทก์ในทำนองชู้สาวอีกหากฝ่าฝืนจะต้องชำระค่าปรับครั้งละ….บาท
หากทั้งสองฝ่ายสามารถตกลงกันได้คดีก็จบในชั้นเจรจาไกล่เกลี่ยเพียงครั้งเดียวเท่านั้น
ถ้าหากคุณผิดจริงควรทำอย่างไร
หากคุณไปมีความสัมพันธ์ในทำนองชู้สาวกับคู่สมรสของโจทก์จริง ก็ควรจะจาไกล่เกลี่ยชำระเงินตามสมควรให้กับโจทก์
อย่างไรก็ตามหากเจรจากันแล้วไม่สามารถตกลงกันได้ ฝ่ายโจทก์ต้องการเรียกร้องค่าเสียหายที่สูงเกินสมควรสูงเกินความจริง ก็ต้องสู้คดีกันต่อไปโดยศาลจะเป็นคนตัดสินตัวเลขตามสมควรครับ
ซึ่งธรรมดาแล้วหากเราแสดงความสำนึกผิดหรือไม่มีเจตนา ศาลจะกำหนดค่าเสียหายให้ไม่สูงมากนักอยู่แล้วครับ
หากไม่ผิดจริงต้องทำอย่างไร
ในกรณีที่เราไม่ได้ไปยุ่งเกี่ยวกับ คู่สมรสของโจทก์ หรืออาจจะไม่เข้าข้อกฎหมายที่จะสามารถฟ้องร้องดำเนินคดีได้เช่นกรณีที่เราเป็นฝ่ายหญิง แล้วไม่ได้คบหาโดยเปิดเผยกับสามีของโจทก์
ในกรณีที่เราก็ควรต่อสู้คดีไปตามความจริง โดยอาจจะเตรียมพยานหลักฐานไปชี้แจงในวันนัดไกล่เกลี่ยเลยก็ได้ว่าเราไม่ได้กระทำความผิดตามที่ถูกกล่าวหาจริงเป็นเรื่องเข้าใจผิด
หากเจอกับฝ่ายโจทก์และทนายความโจทก์ที่มีเหตุผล ก็อาจจะยอมถอนฟ้องหรือคำสัญญาประนีประนอมยอมความกันคดีก็จะจบสิ้นไป โดยอาจจะทำข้อตกลงในทำนองว่าจะไม่ไปยุ่งเกี่ยวหรือกระทำการที่สุ่มเสี่ยงจะให้เข้าใจผิดกันอีก
หากไม่สามารถตกลงกันได้ก็สืบพยานให้ศาลตัดสินคดีไป
การสืบพยานเป็นอย่างไร
กระบวนการในชั้นสืบพยานทั้งสองฝ่ายมีหน้าที่จะต้องนำพยานหลักฐาน ทั้งพยานบุคคล พยานเอกสาร หรือพยานวัตถุ มาเสนอต่อศาลเพื่อให้เป็นไปตามข้ออ้างของตน
กล่าวคือฝ่ายโจทก์มีหน้าที่จะต้องนำพยานหลักฐานมาแสดงต่อศาลว่าเราไปมีความสัมพันธ์ในทำนองชู้สาวกับสามีของโจทก์ หากโจทก์นำสืบไม่ได้ศาลก็ต้องยกฟ้อง
ส่วนตัวจำเลยเราก็มีหน้าที่ในการนำสืบพยานหลักฐานที่แสดงให้ศาลเห็นว่า เราไม่ได้ไปเกี่ยวข้องหรือไม่มีความสัมพันธ์ในทำนองชู้สาวกับสามีหรือภรรยาของโจทก์
โดยเมื่อสืบพยานเสร็จแล้ว ศาลก็จะชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานของทั้งสองฝ่าย และพิพากษาไปตามรูปคดีครับ
ใช้เวลานานไหมคดีจึงจะจบ
ธรรมดาแล้วหากสามารถตกลงกันได้ในนัดเจรจาไกล่เกลี่ย ก็จะใช้เวลาไม่นาน เพียงแค่ 1-2 แต่หากตกลงกันไม่ได้ก็จะต้องเข้าสู่กระบวนการสืบพยานต่อไป
ศาลจะกำหนดวันนัดสืบพยานหลังจากที่ไกล่เกลี่ยกันไม่จบประมาณ 3-6 เดือน แล้วแต่ลำดับคิวและความหนาแน่นในการพิจารณาคดีของศาลนั้นๆ
ซึ่งหลังจากที่ศาลสืบพยานแล้วก็จะนัดตัดสินภายหลังจากสืบพยานประมาณ 1-2 เดือน โดยสรุปแล้วกระบวนการพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นจะใช้เวลาประมาณ 6 เดือนถึง 1 ปี
และหากฝ่ายใดไม่พอใจคำพิพากษาของศาลชั้นต้นก็ต้องอุทธรณ์ ฎีกาคัดค้านคำพิพากษาต่อไป ซึ่งในส่วนนี้จะใช้เวลาประมาณ 1-2 ปี ครับ
รวมตั้งแต่สู้คดีตั้งแต่ศาลชั้นต้นจนถึงศาลฎีกาก็อยู่ที่ประมาณ 1-3 ปี แล้วแต่กรณีครับ
สรุปว่าจะต้องไปศาลประมาณกี่ครั้ง
ธรรมดาแล้วเมื่อถูกฟ้องร้องดำเนินคดีเรื่องชู้ เราจะต้องไปศาลประมาณ 2 ครั้ง ครั้งแรกคือนัดไกล่เกลี่ยหากสามารถจ่ายเคลียร์กันจบก็จะเสร็จในครั้งแรกนัดเลย
แต่หากไกล่เกลี่ยไม่จบเราจะต้องมาศาลอย่างน้อยอีก 1 ครั้งในชั้นสืบพยาน
ส่วนในวันนั้นอื่นๆเช่นนัดพร้อม นัดชี้สองสถาน และการดำเนินการอื่นๆส่วนใหญ่แล้วทนายความสามารถไปแทนได้ทั้งหมดครับ
ธรรมดาแล้วศาลจะตัดสินให้โจทก์ชนะคดีเป็นตัวเลขเท่าไหร่
ธรรมดาแล้วตัวเลขที่ศาลตัดสินในคดีฟ้องชู้มีตั้งแต่หลักหมื่นเช่น 50,000 บาท ไปจนถึงสูงสุดที่มีในประเทศไทยคือ 1 ล้านบาท
ทั้งนี้ตัวเลขที่ศาลจะตัดสินให้นั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่นหน้าตาฐานะทางสังคมของทุกฝ่าย พฤติกรรมความรุนแรงของการเป็นชู้ คู่สมรสแต่งงานกันมานานหรือยัง เป็นต้น
สามารถอ่านแบบละเอียดได้ในบทความด้านล่างครับ
ค่าทนายความในการต่อสู้คดีอยู่ที่เท่าไหร่
ค่าทนายความในการต่อสู้คดีของทนายความแต่ละคนย่อมไม่เท่ากัน และไม่มีหลักเกณฑ์ในการกำหนดตายตัว แต่สำหรับผมคดีประเภทนี้ ถือว่าเป็นคดีที่ไม่ยุ่งยาก และไม่ซับซ้อน โดยทางสำนักงาน พิศิษฐ์ ศรีสังข์ ทนายความ จะคิดค่าวิชาชีพในคดีลักษณะนี้ประมาณ 50,000 บาท หรือแล้วแต่รูปคดีความยากง่าย และระยะเวลาการเดินทาง การทำงานครับ