คู่มือปฏิบัติงานของทนายความ

การถามพยาน ตอนที่ 1 ” ซักถามพยาน ” – รวม 13 เคล็ดลับที่ทนายความต้องรู้ก่อนขึ้นถามพยานในชั้นศาล

Table of contents in the article

การซักถามพยาน เป็นงานที่ทนายความที่ขึ้นว่าความในชั้นศาลทุกคนจะต้องได้ทำ เพราะเป็นพื้นฐานของงานทนายความ   

โดยวัตถุประสงค์ของการซักถามพยาน ก็เพื่อให้พยานเล่าข้อเท็จจริงที่ตนเองรู้เห็นรับทราบมา ให้กับศาลบันทึกไว้ในคำเบิกความ

ทั้งนี้เพื่อประโยชน์แก่รูปคดีของตน หรือเพื่อหักล้างข้อต่อสู้ของฝ่ายตรงข้าม

การอ้างพยานบุคคลเพื่อนำสืบในชั้นศาล ผู้อ้างต้องยื่นบัญชีระบุพยานตามกฎหมาย และก่อนพยานเบิกความ พยานก็ต้องสาบานตัวตามศาสนา ปวิพ. ม.112 

จากนั้นศาลก็จะถามพยาน ถึงชื่อนามสกุล ที่อยู่ อาชีพ ความเกี่ยวข้องกันคู่ความ ปวิพ. ม.116

หลังจากนั้น ธรรมดาแล้ว ศาลก็จะให้ทนายความผู้อ้างพยานซักถามพยานปากนั้น เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงตามที่ต้องการ

การซักถามพยานที่เราอ้างขึ้นมาเองนั้น ดูเผินๆหมือนจะเป็นงานที่ง่ายที่สุดในการซักถามพยานทั้ง 3 ประเภท คือ ซักถาม ถามค้าน ถามติง 

แต่ความจริงแล้ว การซักถามพยาน ถือเป็นทั้งศาสตร์และศิลปขั้นสูง ที่ต้องอาศัยประสบการณ์ การศึกษาค้นคว้าทั้งทางทฤษฎีและปฏิบัติ จึงจะทำให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด 

ทนายความที่เก่งในการซักถามพยาน จะทำให้พยานสามารถเบิกความได้สิ้นกระบวนความ สอดคล้องเป็นเหตุเป็นผล มีน้ำหนักน่าเชื่อถือ จูงใจให้ศาลเชื่อและคล้อยตามรูปคดีของตนเองได้ ฝ่ายตรงข้ามยากต่อการถามค้าน และหากเกิดปัญหาเฉพาะหน้าก็จะสามารถแก้ไขได้ทันที 

ในทางกลับกัน ทนายความที่ไม่ได้ศึกษาด้านการถามความทั้งจากตำราและจากอาจารย์ผู้มีประสบการณ์ คิดว่าเมื่อสอบใบอนุญาตว่าความได้แล้ว ก็ขึ้นซักพยานเลย ส่วนมากมักจะถามพยานไม่เป็น ถามไม่ครบกระบวนความ ขาดความสอดคล้อง ไม่มีน้ำหนักน่าเชื่อถือ ฝ่ายตรงข้ามสามารถหาช่องในการถามค้านทำลายน้ำหนักได้โดยง่าย และเมื่อเกิดปัญหาเฉพาะหน้าก็แก้ไขไม่เป็น 

ถึงแม้ปัจจุบันนี้ในการสืบพยานคดีแพ่งในหลายคดีจะนิยมใช้บันทึกคำเบิกความ แทนการซักถามพยานแบบสดๆเหมือนสมัยก่อน 

แต่หลักพื้นฐานในการซักถามพยานก็ยังเป็นสิ่งสำคัญสามารถนำไปปรับใช้ได้กับการทำคำเบิกความได้

อีกทั้งหากเป็นคดีอาญาหรือคดีแพ่งที่ศาลไม่ให้ทำคำเบิกความ ทนายความก็จะต้องมีความสามารถพร้อมในการซักถามพยาน

วันนี้ผมจึงได้นำเทคนิคและข้อควรรู้ ที่ผมเห็นว่าเป็นประโยชน์สำหรับเพื่อนๆทนายความในการซักถามพยานในชั้นศาลมาแบ่งปันกัน รวมทั้งสิ้น 13 ข้อครับ


ห้ามใช้คำถามนำ แต่ไม่ได้ห้ามเด็ดขาด 

ธรรมดาแล้วในการซักถามพยานที่เราอ้างมานั้น กฎหมายห้ามไม่ให้ทนายความใช้ คำถามนำ ในการซักถามพยานของฝ่ายตนเอง 

คำถามนำ หมายความว่าเป็นคำถามที่แนะนำคำตอบให้กับพยานอยู่ในตัว หรือเป็นคำถามที่ให้พยานเลือกตอบข้อเท็จจริงอย่างใดอย่างหนึ่ง ในลักษณะการชี้นำ ไม่ใช่เป็นคำถามเพื่อให้พยานเราได้เล่าข้อเท็จจริงแต่เป็นคำถามที่แนะนำคำตอบให้กับพยานอยู่ในตัว 

ตัวอย่างเช่น 

  • วันเกิดเหตุพยานเห็นเหตุการณ์ใช่ไหม
  • จำเลยเป็นคนใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายใช่หรือไม่ 
  • จำเลยขี่มอเตอร์ไซค์หลบหนีไปใช่หรือไม่ 

สาเหตุที่กฎหมายห้ามไม่ให้ใช้คำถามนำ เพราะกฎหมายถือว่าต้องการให้พยานเล่าเรื่องข้อเท็จจริงที่พยานได้ประสบรู้เห็นมาโดยตรง ไม่ใช่ให้พยานตอบตามที่ทนายความต้องการนำทางไป 

มิฉะนั้นคนที่ไม่รู้เห็นเรื่องราวใดๆเลยก็ยอมมาเบิกความเป็นพยานในชั้นศาลได้ เพียงแค่ตอบคำถามตามที่ทนายความนำไปว่าใช่ๆๆ อย่างเดียว 

อย่างไรก็ตามกฎหมายในเรื่องการห้ามถามนำนั้น ไม่ใช่กฎหมายต้องห้ามเด็ดขาด

หากศาลอนุญาตให้ใช้คำถามนำหรือฝ่ายตรงข้ามไม่คัดค้านในการใช้คำถามนำ ทนายความฝ่ายผู้อ้างพยานก็สามารถใช้คำถามนำได้ ทั้งนี้ตาม ปวิพ ม.118

ในบางครั้งบางสถานการณ์ เราอาจจะเจอพยานที่ไม่เข้าใจคำถาม ไม่เข้าใจประเด็นที่เราต้องการจะซักถาม ถามกี่ครั้งพยานก็ยังไม่เข้าใจ อีกทั้งประเด็นที่เราจะถามก็ไม่ใช่ประเด็นข้อสำคัญในคดี 

ตัวอย่างเช่น

เราจะถามถึงวันเวลาเกิดเหตุ วันเดือนปีเกิด อายุของพยาน สถานที่เกิดเหตุอยู่ตำบลอะไรจังหวัดอะไร  ซึ่งไม่ได้เป็นประเด็นข้อสำคัญในคดีนั้นเพียงแต่ต้องการให้พยานเบิกความเพื่อความสมบูรณ์ในการซักถามเท่านั้น 

เช่นนี้เราอาจจะขออนุญาตศาลถามนำก็ได้

  • โดยการขออนุญาตศาลว่า ท่านครับคำถามนี้ผมขออนุญาตใช้คำถามนำว่า ….. เพราะพยานไม่เข้าใจคำถามและไม่ได้เป็นประเด็นข้อได้เปรียบเสียเปรียบในคดีครับ 

ดังนั้นแล้วในการซักถามพยานนั้นโดยหลักแล้วเราห้ามใช้คำถามนำ เว้นแต่พยานไม่เข้าใจคำถามจริงๆและไม่ใช่ประเด็นข้อสำคัญในคดีเราอาจจะขออนุญาตศาลใช้คำถามนำได้ หากศาลอนุญาตเราก็สามารถถามนำได้

ในทำนองกลับกันหากเราเป็นทนายความฝั่งตรงข้าม หากทนายความฝ่ายตรงข้ามใช้คำถามนำในการซักถามพยานและเป็นประเด็นข้อสำคัญในคดีเราก็ควรลุกขึ้นคัดค้าน 

แต่หากทนายฝ่ายตรงข้ามถามนำเพียงเล็กน้อยเพราะพยานไม่เข้าใจคำถาม แล้วไม่ใช่ประเด็นข้อสำคัญในคดีเราก็สามารถปล่อยผ่านไปก็ได้ครับ 


ใช้คำถามที่สั้น กระชับ ถามทีละคำถาม 

หลักการตั้งคำถามที่ถูกต้องในการซักถามพยาน ก็คือ การตั้งคำถามให้สั้น กระชับที่สุด คำถามยิ่งสั้นยิ่งดี 

เพราะคำถามยิ่งยาวยิ่งทำให้พยานเข้าใจยากขึ้น ว่าเราต้องการสอบถามว่าอะไร แล้วจะทำให้ศาลไม่เข้าใจเช่นเดียวกันว่าเราต้องการถามพยานว่าอะไร

และการตั้งคำถามนั้นควรจะตั้งคำถามทีละคำถาม อย่าตั้งคำถามหลายคำถามในครั้งเดียว จะทำให้พยานมึนงงสับสน และตอบไม่ครบถ้วน 

ตัวอย่างการตั้งคำถามหลายคำถามรวดเดียวเช่น 

  • บิดาพยานเสียชีวิตเมื่อไหร่ เพราะสาเหตุอะไร ด้วยโรคอะไร เสียที่ไหน ? 

ซึ่งความจริงแล้วเราควรจะแยกคำถามดังกล่าวออกมาเป็นทีละข้อ จะทำให้พยานตอบได้ชัดเจนไม่ตกหล่นและไม่มึนงงกับคำถาม 

ตัวอย่างเช่น

  • บิดาพยานเสียชีวิตเมื่อไหร่
  • เสียเพราะสาเหตุอะไร
  • เสียที่ไหน
  • ก่อนเสียมีภูมิลำเนาอยู่ที่ไหน

ดังนั้นจงจำไว้ว่าทนายความที่เก่งจะใช้คำถามในการถามพยานที่สั้นกระชับเข้าใจง่าย ทำให้ทั้งพยานและศาลสามารถเข้าใจได้ทันทีว่าเราต้องการให้พยานตอบว่าอะไร 

ทนายคนไหนที่ใช้คำถามยาว คนฟังหรือศาลฟังแล้วไม่สามารถเข้าใจได้เลยว่าคำถามนั้นหมายถึงอะไร คือทนายที่ไม่มีความสามารถในการตั้งคำถามครับ


ใช้น้ำเสียงที่สุภาพ นุ่มนวล คอยปลอบเมื่อพยานไม่เข้าใจคำถาม หรือตอบผิดพลาด

การใช้น้ำเสียงในการซักถามพยานนั้นเป็นหนึ่งในศิลปะที่ทนายความที่มีความสามารถห้ามมองข้ามโดยเด็ดขาด 

ธรรมดาแล้วบุคคลที่จะมาเบิกความเป็นพยานในชั้นศาลนั้น ย่อมมีความประหม่า ตื่นเต้น และเกรงกลัวอยู่ไม่น้อย 

แม้กระทั่งตัวผมเอง ถึงแม้จะเป็นทนายความและมีประสบการณ์ในการว่าความแต่เมื่อถึงคราวต้องเบิกความในชั้นศาลบางครั้งก็ตื่นเต้นเกิดความผิดพลาดได้ 

เมื่อเราเป็นทนายความฝั่งที่อ้างตัวเขามาเป็นพยาน เราก็ควรจะเข้าใจถึงความเป็นจริงข้อนี้ว่า คนที่จะมาเบิกความเป็นพยานในชั้นศาลเขาก็มีความตื่นเต้น ประหม่า และกลัวความผิดพลาดอยู่แล้ว 

ดังนั้นเราจึงควรที่จะพูดจากับเขาด้วยความสุภาพ อ่อนโยน หากเขาเบิกความผิดพลาดหลงลืมหรือตกหล่นก็ควรค่อยๆบอกเขาด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร และคอยปลอบโยนเขา ซึ่งจะทำให้เขาได้สติ 

แต่หากเราอารมณ์เสีย ใส่อารมณ์หรือดุด่าว่ากล่าวพยานที่เบิกความผิดพลาดหรือไม่ตรงกับที่เราต้องการจะถาม ยิ่งจะทำให้พยานหวาดกลัวแตกตื่นจนอาจเบิกความเสียรูปคดีไปเลย 

ดังนั้นการใช้น้ำเสียง และวิธีการถามของพยานในการซักถามพยาน จึงเป็นเรื่องที่สำคัญมากอย่างหนึ่งในการถามพยานครับ 


ใช้ภาษาที่เหมาะสมกับพยาน

การใช้ภาษาที่เหมาะสมกับความรู้ สติปัญญา ของพยานก็เป็นเรื่องที่สำคัญมากที่ทนายความจะต้องรู้จักเลือกใช้ให้เหมาะสม

ถ้าหาพยานเป็นชาวบ้าน จบการศึกษาชั้นม.3 เช่นนี้การใช้คำถาม ก็ควรใช้คำถามง่ายๆ หลีกเลี่ยงการใช้คำทับศัพท์ ภาษาต่างประเทศ ภาษาราชการ ภาษากฎหมาย ภาษาเฉพาะทาง แต่ควรใช้ภาษาแบบง่ายๆที่ชาวบ้านทั่วไปฟังแล้วเข้าใจ 

หากพยานเป็นคนภาคเหนือ ภาคอีสาน หรือภาคใต้ ที่อาจจะไม่เข้าใจบริบทหรือภาษากลางอย่างชัดเจน หากถามแล้วไม่เข้าใจก็อาจจะขออนุญาตศาลถามเป็นภาษาท้องถิ่นหรืออธิบายคำถามให้พยานเข้าใจได้โดยง่าย

แต่หากพยานเป็นผู้มีการศึกษา เป็นนักวิชาการเฉพาะทาง ที่สามารถเข้าใจคำศัพท์เฉพาะ ภาษากฎหมาย ภาษาทางการ ได้เป็นอย่างดีทนายความก็สามารถใช้คำถามที่เป็นศัพท์เฉพาะ ภาษากฎหมาย หรือภาษาทางการได้เลย

การใช้ภาษาที่เหมาะสมกับระดับสติปัญญาของพยาน จะทำให้การสื่อสารระหว่างเราและพยานไม่คลาดเคลื่อน การซักถามพยานเป็นไปโดยราบรื่นไม่มีข้อผิดพลาดหรือตกหล่น 


ซักถามเพื่อให้เหตุผลเชิงลึก

ในการซักถามพยานเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงตามคำฟ้องหรือคำให้การ ไม่ใช่เพียงแต่การซักถามให้พยานเบิกความยืนยันข้อเท็จจริงตามคำฟ้องหรือคำให้การเท่านั้น 

แต่จะต้องซักถามข้อเท็จจริงเชิงลึกถึงเหตุผล ที่มา รายละเอียด และข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องมาประกอบเพื่อให้การเบิกความนั้นสมเหตุสมผลด้วย 

ทนายความหลายคนเวลาทำคำเบิกความหรือเวลาจะซักถามพยาน ก็จะซักถามไปตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำฟ้องเท่านั้น 

ถ้าพยานเบิกความแค่ว่า พบเห็นสิ่งนี้ รู้เห็นสิ่งนี้ อย่างเดียวอาจไม่มีน้ำหนัก หรือที่เรียกว่าเบิกความลอยๆ

เราต้องซักถามให้เห็นถึงเหตุผล และข้อเท็จจริงประกอบด้วย

ตัวอย่างเช่น

พยานเบิกความว่าให้จำเลยกู้ยืมเงิน ก็ต้องถามถึงเหตุผลว่าทำไมถึงให้จำเลยกู้รู้จักกันมานานแค่ไหน จำเลยบอกว่าเหตุผลอะไรในการกู้ยืมเงิน มอบเงินด้วยวิธีไหน ชำระเงินให้จำเลยอย่างไร เป็นต้น 

หรือตัวอย่างเช่น

หากพยานเบิกความว่า ไปพบเห็นจำเลยวิ่งราวทรัพย์ เราก็ต้องถามให้ละเอียดว่า เหตุใดจึงไปพบจำเลย เหตุการณ์ขณะพบเป็นอย่างไร จำเลยแต่งตัวอย่างไร เหตุการณ์หลังเกิดเหตุเป็นอย่างไร 

การซักถามถึงเหตุผลเชิงลึกและรายละเอียดในคำเบิกความ จะทำให้คำเบิกความของพยานของเรา มีน้ำหนักน่าเชื่อถือ มีเหตุผลสอดคล้องกับความจริง มากกว่าให้พยานเบิกความลอยๆโดยไม่ให้รายละเอียด 


ซักถามเพื่อปิดคำถามค้าน

เทคนิคนี้ผมได้มาจากหนังสือของ อ.ไพศาล พืชมงคล ที่ชื่อคู่มือการสืบพยาน 

โดยเทคนิคนี้มีหัวใจอยู่ที่ว่า ให้เราคิดไว้ล่วงหน้าเลยว่าหากเราเป็นทนายความฝั่งตรงข้าม เราจะถามค้านพยานปากเหล่านี้อย่างไร 

เมื่อคิดไว้แล้วว่า ฝ่ายตรงข้ามจะถามว่าอย่างไรเราไม่ต้องรอให้ฝ่ายตรงข้ามถาม แต่ให้เราซักถามพยานให้อธิบายในประเด็นนั้นให้ชัดเจนไปเลย 

การที่ให้พยานอธิบายในประเด็นที่คิดว่าจะถูกถามค้าน อย่างสมเหตุสมผล ชัดเจน ตั้งแต่ตอนเบิกความเลยจะทำให้  ฝ่ายตรงข้ามจะถามค้านยาก 

ตัวอย่างเช่นคดีอาญา สมมุติว่า เป็นคดีฆาตกรรม เรารู้อยู่แล้วว่าฝ่ายตรงข้ามจะต่อสู้ประเด็นว่าพยานจำตัวจำเลยไม่ได้ ก็ต้องถามให้ละเอียดเลยว่า 

  • แสงไฟที่เกิดเหตุเป็นอย่างไร
  • มีเวลาพบเห็นจำเลยนานแค่ไหน
  • รูปร่างหน้าตาของจำเลยเป็นอย่างไรมีจุดเด่นอย่างไร 
  • ทำไมจึงจดจำจำเลยได้

การซักถามเพื่อปิดคำถามค้านนี้ เป็นเทคนิคที่ผมนำไปลองใช้แล้วปรากฏว่า ได้ผลดีเป็นอย่างมาก เพราะทำให้พยานได้เบิกความอธิบายข้อเท็จจริงอย่างครบถ้วนกระบวนความ ฝ่ายตรงข้ามถามค้านให้เสียน้ำหนักยาก จึงแนะนำให้เพื่อนๆนำไปปรับใช้กันครับ 


ซักถามเผื่อพยานปากหลัง

ในกรณีที่พยานบุคคลที่เรานำสืบนั้นเป็นพยานคู่ หรือมีพยานคนอื่นที่รับรู้เห็นข้อเท็จจริงเดียวกันนั้นด้วยและเราประสงค์จะนำสืบพยานอื่นในภายหลัง 

เราก็ต้องถามพยานปากแรกไว้ด้วยว่า ขณะเกิดเหตุมีใครรู้เห็นเหตุการณ์อีกนอกจากตัวพยานเอง 

เพื่อให้พยานยืนยันว่ายังมีพยานอื่นรู้เห็นเหตุการณ์เดียวกันอีก 

ถ้าเราไม่ถามไว้ และเอาพยานปากอื่นมาเบิกความภายหลัง น้ำหนักความน่าเชื่อถือก็จะลดลงไป 

ตัวอย่างเช่น ถามว่า ขณะเห็นเหตุการณ์มีใครอยู่ด้วย เพื่อให้พยานตอบว่า นาย ข. อยู่ในเหตุการณ์ด้วย

เวลาที่นำนาย ข. พยานปากต่อไปมาเบิกความก็จะมีน้ำหนักน่าเชื่อถือขึ้น 


การนำพยานเอกสาร พยานวัตถุ คลิปเสียง คลิปวีดีโอ มาประกอบการซักถาม

การให้พยานเบิกความแสดงข้อเท็จจริงต่อศาลนั้น นอกจากการจะให้พยานเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นตามที่ตนเองรู้เห็นแล้ว ยังสามารถให้พยานเบิกความยืนยันถึง พยานเอกสาร พยานวัตถุ 

เช่น สัญญา ประกาศ หลักฐานการสนทนาผ่านโปรแกรม LINE หรือ facebook คลิปวีดีโอ หรือคลิปเสียงต่างๆ 

เพื่อแสดงประกอบหรือยืนยันให้เห็นถึงข้อเท็จจริงตามที่ตนเองได้เบิกความหรือประสบรู้เห็นมา  

ซึ่งในการที่จะนำพยานเอกสารพยานวัตถุให้พยานเบิกความรับรองนั้น  ไม่ใช่เพียงแต่เอาเอกสารมาให้พยานรับรองเฉยๆ

แต่เราควรจะให้พยานเบิกความอธิบายถึงข้อเท็จจริงรายละเอียดโดยสังเขปที่ ปรากฏในคลิปเสียง คลิปวีดีโอ พยานเอกสาร หรือพยานวัตถุนั้นด้วย

โดยการเบิกความอธิบายถึงรายละเอียด ไม่จำเป็นต้องเบิกความถึงเนื้อหาในพยานเอกสารหรือพยานวัตถุทั้งหมด แต่ให้เบิกความในประเด็นสำคัญ เพื่อให้ศาลสามารถเข้าใจเนื้อหาที่เราต้องการสื่อได้โดยง่าย 

ตัวอย่างเช่น

หากเรานำสัญญาขึ้นสอบถามพยาน เราไม่จำเป็นต้องสอบถามถึงเนื้อหาในสัญญาทุกข้อ แต่อาจจะสอบถามเฉพาะเนื้อหาสัญญาโดยคร่าวๆ ว่าเป็นสัญญาระหว่างใครกับใคร เป็นสัญญาเรื่องอะไร และเน้นสอบถามในประเด็นข้อสัญญา ที่เป็นประเด็นข้อพิพาท

หรือตัวอย่างเช่น

  หากเราต้องการนำคลิปวีดีโอมาใช้สอบถามพยาน เราก็ต้องสอบถามพยานว่าคลิปวิดีโอดังกล่าวใครเป็นคนถ่ายเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องอะไร มีใครอยู่ในเหตุการณ์บ้าง จากนั้นให้เราเน้นถามเฉพาะเหตุการณ์ที่เป็นประเด็นข้อสำคัญในคดีไม่จำเป็นต้องนั่งไล่ถามเนื้อหาทั้งคลิปวีดีโอ 


ซักซ้อมพยานทำความเข้าใจกับพยานก่อน

การซักซ้อมทำความเข้าใจกับพยานก่อนถือว่าเป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับทนายความ ก่อนขึ้นซักความในชั้นศาล

ธรรมดาแล้วคนที่จะขึ้นเป็นพยานย่อมมีความประหม่าและอยากจะรู้ว่าตนเองจะต้องถูกถามเรื่องอะไรบ้าง  และหากได้รู้ว่าตนเองจะต้องตอบคำถามเรื่องอะไรบ้าง พยานก็จะคลายความกังวลและผ่อนคลายมากขึ้น 

ดังนั้นทนายความจึงควรจะซักซ้อมกับพยานก่อนว่าตนเองจะถามอะไรกับพยานบ้าง และควรแนะนำให้พยานเบิกความไปตามความจริงที่ตนเองรู้เห็น 

หากพยานไม่เข้าใจคำถามหรือวิธีการตอบ ก็ควรซักซ้อมทำความเข้าใจให้ถูกต้อง 

ทนายความไม่พึงควรแนะนำคำตอบให้กับพยานว่า หากทนายถามแบบนี้ให้ตอบแบบนี้หรือแนะนำให้พยานเบิกความเท็จ หรือบ่ายเบี่ยงไปจากความเป็นจริงเพราะเมื่อถูกฝ่ายตรงข้ามถามค้านก็จะมีโอกาส ความเท็จปรากฏในชั้นศาล 

การซักซ้อมพยานคือการทำความเข้าใจว่าพยานจะถูกถามเรื่องอะไร และควรตอบอย่างไร การซ้อมพยานไม่ใช่การให้พยานท่องจำบท แต่เน้นให้พยานทำความเข้าใจ

การซักซ้อมพยานแบบให้พยานท่องจำบทคำถามคำตอบนั้นมีข้อเสียหลายประการ เพราะถ้าเกิดผิดหมดไปเล็กน้อยพยานก็จะตอบไม่ถูกหรือหากเกิดเหตุแทรกซ้อนอะไรขึ้นมาหรือศาลถามขึ้นมากลางจังหวะก็จะเสียรังวัดไปทั้งหมด 

ดังนั้นจึงควรซักซ้อมพยานแบบให้พยายามทำความเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดโดยรวม จะเป็นประโยชน์มากที่สุด 

และควรจะแนะนำซักซ้อมถึงการตอบคำถามค้านของทนายความฝ่ายตรงข้ามให้กับพยานทราบด้วย อ่านเพิ่มเติมได้ในบทความด้านล่าง 

เป็นพยานศาล ต้องอ่าน ! 4 เคล็ดลับในการตอบคำถามฝ่ายตรงข้ามในชั้นศาล


เตรียมคดีทำความเข้าใจรูปคดีให้ละเอียด 

ก่อนขึ้นซักถามพยาน เราจะต้องทำความเข้าใจกับรูปคดีนั้นให้ละเอียด 

หากเป็นคดีแพ่งก็ต้องอ่านคำฟ้องคำให้การและเอกสารอื่นๆที่เกี่ยวข้องจนสามารถจับประเด็นข้อพิพาทในคดีทั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายให้ได้ ต้องเข้าใจว่าคดีนี้จะแพ้ชนะกันด้วยข้อกฎหมายหรือข้อเท็จจริงเรื่องใด 

ถ้าเป็นคดีอาญาก็จะต้องตั้งประเด็นต่อสู้คดีให้ชัดเจนว่าคดีนี้ จำเลยตั้งประเด็นข้อต่อสู้ว่าอย่างไร คดีจะแพ้ชนะกันด้วยข้อเท็จจริงหรือพยานหลักฐานส่วนไหน แล้วจะต้องตรวจสอบเอกสารหลักฐานต่างๆในคดีให้ละเอียดก่อนเช่นเดียวกัน 

นอกจากนี้จะต้องสอบข้อเท็จจริงจากพยานที่จะขึ้นเบิกความให้ละเอียด  เพื่อที่จะทราบว่าพยานที่เราจะขึ้นซักถามนั้นรู้เห็นข้อเท็จจริงในประเด็นไหนบ้าง 

การเตรียมคดีให้ละเอียดจะทำให้เราถามพยานได้ดี ตรงประเด็น  เพราะเข้าใจเรื่องทั้งหมด เข้าใจประเด็นข้อพิพาททั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ว่าควรจะต้องนำสืบพยานอย่างไรจึงจะชนะคดีได้ เข้าใจว่าพยานปากที่ขึ้นเบิกความ รู้เห็นข้อเท็จจริงอย่างไร


ถ้าพยานตอบเบาไปศาลไม่ได้ยิน คนอื่นๆไม่ได้ยิน 

เนื่องจากในสถานการณ์ covid เช่นนี้ตอนที่พยานเบิกความก็จะต้องใส่แมสหน้ากากปิดหน้าไว้ด้วยตลอดเวลา แล้วบางครั้งในคอกพยานก็จะมีกระจกหรือพลาสติกกั้นอีกชั้นหนึ่ง

ซึ่งธรรมดาแล้วศาลที่นั่งพิจารณาก็จะอยู่ห่างไกลจากพยานมากกว่าตัวทนายความ หลายครั้งพยานเบิกความตอบคำถามของทนาย แล้วมักจะพบเจออยู่เสมอว่า พยานเบิกความแล้วศาลไม่ได้ยินหรือได้ยินไม่ชัดเจน

ศาลจึงจดบันทึกถ้อยคำผิดไปจากที่พยานเบิกความ หรือบางครั้งก็ไม่ได้บันทึกคำเบิกความของพยานเลย ทำให้เราได้รับความเสียหาย

ดังนั้นหากพยานตอบเบาหรือตอบค่อยไป ศาลไม่ได้ยินเราก็ต้องคอยกำชับและบอกพยานด้วยความสุภาพและใช้น้ำเสียงว่า รบกวนช่วยพูดให้ดังขึ้นนิดนึงครับศาลจะได้ยินได้ถนัด

โดยจะต้องพยายามกำชับแจ้งกับพยานว่าพยานมีหน้าที่เบิกความให้กับศาลฟังไม่ใช่เบิกความให้กับทนายความฟังคนเดียว 


ถ้าพยานตอบนอกเรื่อง เกินกว่าที่ถามไปมาก ต้องดึงกลับและตัดตอน

ธรรมดาแล้วพยานที่จะมาเบิกความในชั้นศาลส่วนใหญ่ก็มักจะตอบคำถามเฉพาะเท่าที่เราถามไม่เบิกความขยายความมากไปกว่าที่เราถาม

แต่อย่างไรก็ตามมีพยานบางประเภทที่มักจะนิยมตอบคำถามแบบเรื่อยเปื่อย ตอบไปเรื่อย หรือบางครั้งพยานอาจจะไม่เข้าใจประเด็นที่เราถามจึงตอบผิดประเด็น นอกประเด็น

หากพบเจอเหตุการณ์ที่พยานตอบนอกคำถาม ตอบหลงประเด็น เบิกความนอกเรื่องหรือนอกสิ่งที่เราต้องการจะให้พยายามตอบเราจะต้องตัดบท แล้วแจ้งพยานว่าให้ช่วยตอบเฉพาะเท่าที่เราถาม 

หากปล่อยให้พยานเบิกความเรื่อยเปื่อยไปเรื่อยๆ นอกจากทำให้คดีล่าช้าโดยไม่จำเป็นและอาจจะทำให้พยานเบิกความนอกประเด็นจนเสียรูปคดีก็ได้ 


ต้องเว้นวรรครอศาลบันทึกคำเบิกความ พร้อมทั้งคอยฟังด้วยว่าศาลบันทึกถูกต้องหรือไม่ 

สำหรับเทคนิคข้อนี้เป็นเรื่องพื้นฐานที่ทนายความใหม่ๆหลายคนยังไม่รู้ ก็คือเมื่อเราถามพยานแล้วเราจะต้อง เว้นวรรคให้ศาลจดบันทึกคำเบิกความด้วย 

สมัยแต่ก่อนศาลจะจดบันทึกคำเบิกความด้วยการเขียน (ผมเองก็ไม่ทันสมัยนั้นเหมือนกัน) แต่ปัจจุบันนี้แทบทุกศาลใช้วิธีการบันทึกคำเบิกความด้วยเครื่องบันทึกเสียง แล้วให้เสมียนหน้าบัลลังก์เป็นคนพิมพ์หมดแล้ว

ดังนั้นเวลาเราถามพยานเสร็จแล้ว เราต้องคอยเว้นวรรคให้ศาลบันทึกคำเบิกความของพยานด้วย 

นอกจากนี้ในจังหวะที่ศาลกำลังบันทึกคำเบิกความอยู่นั้น ศาลส่วนใหญ่ก็จะพูดเสียงดังเพียงพอที่จะทำให้เราได้ยินว่าศาลบันทึกคำเบิกความว่าอย่างไร 

ถ้าหากศาลบันทึกคลาดเคลื่อนไปจากที่พยานเบิกความ เราก็สามารถขออนุญาตชี้แจงศาลและขอให้ศาลแก้ไขได้ทันทีเลย 

ซึ่งการขอแก้ไขเสียทันทีตั้งแต่เนิ่นๆ จะป้องกันการโต้แย้งได้ดีกว่าการไปตรวจสอบคำเบิกความทีเดียวหลังจากที่พิมพ์คำเบิกความเสร็จแล้วครับ 


สำหรับเทคนิค ทั้ง 13 ข้อ ในการซักถามพยานฝ่ายที่เราอ้างมานั้น เป็นสิ่งที่ผมได้นำไปลองปรับใช้แล้ว เห็นว่าได้ผลเป็นอย่างดี จึงได้รวบรวมนำมาเผยแพร่เป็นวิทยาทานให้กับเพื่อนๆผู้สนใจ และในตอนหน้าผมจะมาเขียนเกี่ยวกับเรื่อง “การถามค้าน” ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของวิชาชีพทนายความ ยังไงรอติดตามรับชมกันครับ

 

 

Express your opinion about this article

comments

ทนายเอกสิทธิ์ ศรีสังข์

About ทนายเอกสิทธิ์ ศรีสังข์

ทนายความ/หัวหน้าสำนักงาน พิศิษฐ์ ศรีสังข์ ทนายความ ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายและรับว่าความทั่วราชอาณาจักร โทร 098-2477807 , 087-3357764 ไลน์ id - @srisunglaw (มี @ข้างหน้า)

Related Posts

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น