บทความกฎหมายอาญาและวิธีพิจารณาความอาญา, บทความกฎหมายแพ่งและวิธีพิจารณาความแพ่ง, คู่มือปฏิบัติงานของทนายความ

การยื่นบัญชีระบุพยาน คดีแพ่ง – คดีอาญา ฉบับสมบูรณ์ รวมข้อกฎหมาย คำอธิบาย พร้อมตัวอย่างและเทคนิคทางปฏิบัติ

วันนี้ผมจึงได้รวบรวมข้อกฎหมาย คำอธิบาย พร้อมตัวอย่างและเทคนิคทางปฏิบัติ เกี่ยวกับ การยื่นบัญชีระบุพยาน ทั้งคดีแพ่งและคดีอาญา  

เพื่อประโยชน์ในการทำความเข้าใจ และเป็นคู่มือการทำงาน โดยจะเน้นการอธิบายแบบเข้าใจง่าย และสามารถนำไปใช้จริงได้ครับ

อนึ่งคำพิพากษาศาลฎีกาที่อ้างอิงในบทความนี้ หากท่านสนใจอ่านตัวเต็ม สามารถกดคลิกเพื่ออ่านที่ตัวเลขฎีกาได้เลยครับ


การยื่นบัญชีระบุพยาน คืออะไร

การยื่นบัญชีระบุพยาน คือการทำเอกสารเพื่อแจ้งต่อศาลและคู่ความฝ่ายตรงข้ามว่า ในการพิจารณาคดี ฝ่ายเราจะนำพยานบุคคล พยานเอกสาร หรือพยานวัตถุ อะไร มานำสืบประกอบข้ออ้างข้อเถียงของตนบ้าง

วัตถุประสงค์ของการยื่นบัญชีระบุพยาน ก็เพื่อป้องกันการจู่โจมกันทางพยาน โดยการที่ฝ่ายใดจะเอาพยานหลักฐานอย่างใดอย่างหนึ่งมานำสืบนั้น ฝ่ายนั้นก็ต้องแจ้งให้ฝ่ายตรงข้ามทราบถึงการมีอยู่ของพยานหลักฐานดังกล่าวก่อนการสืบพยาน

เพื่อให้ฝ่ายตรงข้ามมีเวลาเตรียมตัวและหาข้อมูลมาโต้แย้งพยานหลักฐานดังกล่าวได้ ภายในระยะเวลาอันเหมาะสม (ฎ.1034/2503 )

หากปล่อยให้มีการสืบพยานกัน โดยไม่มีการยื่นบัญชีระบุพยาน ก็คงจะเกิดความไม่เป็นธรรมกับคู่ความทั้งสองฝ่าย เพราะในวันสืบพยาน อีกฝ่ายจะไม่รู้เลยว่าฝ่ายตรงข้ามจะมีพยานหลักฐานอะไรมาสืบบ้าง

และหากพบพยานหลักฐานที่ไม่คาดคิดมาก่อน ก็อาจจะไม่มีเวลาที่จะหาข้อมูลหรือพยานหลักฐานมาโต้แย้งได้ทัน ทำให้ศาลได้รับข้อเท็จจริงอย่างไม่ครบถ้วนรอบด้าน

นอกจากนี้การยื่นบัญชีระบุพยาน ยังมีประโยชน์ในการพิจารณาคดีของศาล ที่จะทำให้ศาลสามารถกำหนดแนวทางการสืบพยาน ว่าแต่ละฝ่ายมีพยานบุคคล พยานเอกสาร และพยานวัตถุเป็นจำนวนเท่าใด เพื่อที่ศาลจะบริหารจัดการการสืบพยาน และกำหนดจำนวนวันนัดที่จะสืบพยานได้อย่างถูกต้อง

วัตถุประสงค์ของการยื่นบัญชีพยาน


เนื้อหาในบัญชีระบุพยาน

อย่างที่บอกไปแล้วในตอนต้นว่า วัตถุประสงค์ของการยื่นบัญชีระบุพยานก็คือ การให้คู่ความฝ่ายตรงข้ามและศาลที่จะขึ้นนั่งพิจารณาคดีทราบว่า ฝ่ายเราจะนำพยานบุคคล พยานเอกสารหรือ พยานวัตถุใดมานำเสนอประกอบข้ออ้าง ข้อเถียงของตนเองบ้าง 

ดังนั้นเนื้อหาในบัญชีพยาน ก็จะต้องระบุให้ชัดเจนว่า พยานบุคคล พยานเอกสาร หรือพยานวัตถุ ที่เราจะนำมาแสดงต่อศาลนั้น มีรายละเอียดอย่างไร ให้ผู้อ่านสามารถเข้าใจได้ว่า เราจะเอาอะไรมาสืบ ไม่ใช่เป็นการระบุพยานอย่างคลุมเคลือ อ่านแล้วก็ไม่รู้ว่า จะเอาใครเบิกความ 

ตัวอย่างบัญชีพยานที่คลุมเครือ เช่น ระบุว่า

  • นายแดง ไม่ทราบนามสกุล ไม่ทราบที่อยู่
  • รูปถ่ายมีด , หลักฐานการสนทนาผ่าน โปรแกรมไลน์ , สัญญากู้ยืมบันทึกเสียงสนทนา , ผลตรวจพิสูจน์สารพันธุกรรมดีเอ็นเอ  

การยื่นบัญชีระบุพยานเช่นนี้ ผู้อ่านย่อมไม่ทราบและไม่เข้าใจว่า พยานหลักฐานที่เราจะมานำสืบคืออะไรบ้าง ถือเป็นการยื่นบัญชีระบุพยานโดยไม่ชอบ และมีผลเสมือนหนึ่งว่าไม่ได้ยื่นบัญชีระบุพยานไว้ (ฎ.385/2543)

การยื่นบัญชีระบุพยานนั้น จะต้องมีความชัดเจนว่า พยานหลักฐานที่จะเอามานำสืบในชั้นพิจารณาคืออะไร ตัวอย่างเช่น 

การระบุพยานบุคคล 

ก็ต้องมีการระบุ คำนำหน้านาม ชื่อ นามสกุล ที่อยู่ ให้รู้ตัวตนชัดเจนว่า พยานที่จะมานำสืบคือใคร ทั้งนี้ ศาลฎีกาเคยมีคำวินิจฉัยว่า การยื่นบัญชีพยานโดยไม่ระบุที่อยู่ของพยาน ถือเป็นบัญชีพยานที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ( ฎ.1590/2542 )

ตัวอย่างเช่น 

  • นายเอกสิทธิ์ ศรีสังข์ ทนายความหัวหน้าสำนักงานพิศิษฐ์ ศรีสังข์ ทนายความ อยู่บ้านเลขที่ 51/29 หมู่ที่ 4 ตำบลบ้านสวน อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี 

หากเป็นพยานบุคคลที่อ้างโดยตำแหน่ง ก็ต้องระบุตำแหน่งให้ชัดเจน เช่น 

  • ผู้อำนวยการโรงเรียนชลราษฎรอำรุง ตั้งอยู่ที่เลขที่ 1 ตำบลบ้านสวน อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี 
  • พ.ต.ต.สมรวย มากมี ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรี ตั้งอยู่เลขที่ 2 ตำบลบ้านสวน อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี

ทั้งนี้การยื่นบัญชีระบุพยาน โดยไม่ระบุชื่อนามกุล ระบุเพียงตำแหน่ง ก็สามารถกระทำได้ ตามนัย คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 167/2528 

แต่อย่างไรก็ตามหากรู้ชื่อนามสกุลที่แน่นอน ก็ควรระบุไปด้วย ยกเว้นแต่กรณีที่อาจจะอยู่ช่วงใกล้โยกย้ายตำแหน่ง ซึ่งหากระบุไปก่อน ในตอนสืบพยานอาจมีการเปลี่ยนตัวผู้ดำรงตำแหน่ง เช่นนี้จะระบุแต่ตำแหน่งอย่างเดียวก็ได้


การระบุพยานเอกสาร

ถ้าเป็นการอ้างอิงเอกสาร ก็จะต้องระบุให้ชัดเจนว่า เป็นเอกสารที่ทำขึ้นระหว่างใครกับใคร ทำขึ้นเมื่อไหร่ เป็นเอกสารประเภทอะไร เป็นต้นฉบับหรือสำเนา ตัวอย่างเช่น 

  • ต้นฉบับ / สำเนา สัญญากู้ยืมเงินระหว่างโจทก์และจำเลย ฉบับลงวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2561 
  • ต้นฉบับ / สำเนา รายงานประจำวันเกี่ยวกับคดี ที่โจทก์ได้แจ้งความร้องทุกข์ต่อ ร.ต.อ. สมคิด ศรีทอง พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเมืองชลบุรี ให้ดำเนินดคีกับจำเลยในความผิดฐานฉ้อโกง ลงวันที่  1 มกราคม 2563
  • ต้นฉบับ/สำเนา เช็ค ใบคืนเช็ค ของธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) เลขที่บัญชี 123456789 ชื่อบัญชีจำเลย ลงวันที่ 1 มกราคม 2563 และ 1 กุมภาพันธ์ 2563 จำนวนเงินตามเช็ค 100,000 บาท  

ทั้งนี้หากระบุในเอกสารว่าเป็นสำเนาอย่างเดียวไม่ได้ระบุว่าจะทำการนำต้นฉบับมาสืบด้วย ย่อมไม่มีสิทธิ์นำต้นฉบับมาสืบ 


การระบุพยานวัตถุ

ถ้าเป็นการอ้างอิงพยานวัตถุ ก็จะต้องระบุให้ชัดเจนว่า พยานวัตถุดังกล่าวเป็นอะไร ตัวอย่างเช่น

  • มีดขนาดยาว 5 เซนติเมตร กว้าง 4 เซนติเมตร ที่จำเลยใช้แทงผู้ตาย
  • สำเนาสิ่งพิมพ์ข้อมูลแสดงการสนทนาผ่านแอพพลิเคชั่นไลน์ ที่โจทก์และจำเลยสนทนากัน ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2563 ถึงวันที่ 15 ธันวาคม 2563 
  • รูปถ่ายภาพเหตุการณ์การคบชู้กันระหว่างจำเลยและสามีโจทก์ ซึ่งแสดงตนอย่างเปิดเผยว่าคบหากันอย่างชู้สาวในสถานที่ต่างๆ  ตั้งแต่ประมาณวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2563 ถึงวันที่ 5 พฤษภาคม 2563 
  • แผ่นซีดีบันทึกภาพและเสียงขณะเกิดเหตุการณ์ปล้นทรัพย์ ที่ร้านทองเยาวราช ในวันเกิดเหตุ คือวันที่ 1 มกราคม 2565 เวลาประมาณ 12.00 นาฬิกา พร้อมถอดเทปบรรทึกเสียงและคำบรรยายเหตุการณ์

การขอให้ศาลมีคำสั่ง

เช่นการขอให้ศาลแต่งตั้งผู้เชี่ยวชาญ หรือตรวจสถานที่ หรือทำการตรวจพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ หรือทำแผนที่พิพาทก็ต้องระบุให้ชัดเจน เช่น 

ตัวอย่างเช่น

  • แผนที่พิพาท ที่แสดงให้เห็นถึงแนวเขตที่ดินของโจกท์และจำเลย และแนวเขตที่ดินพิพาท โดยให้ปรากฎบ้าน ต้นไม้ รั้ว และสิ่งอื่นๆที่ปรากฏอยู่ในที่ดินพิพาทตามสมควร (ขอให้ศาลมีคำสั่งแต่งตั้งเจ้าพนักงานที่ดินรังวัดทำแผนที่พิพาท)
  • ผลการตรวจพิสูจน์สารพันธุกรรม DNA ระหว่างโจทก์และจำเลย ที่พิสูจน์ว่าโจทก์และจำเลยเป็นบิดากับบุตรกันจริงหรือไม่ ของสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม หรือโรงพยาบาลตำรวจ หรือโรงพยาบาลรัฐอื่นตามที่ศาลเห็นสมควร (คำสั่งศาล)
  • เดินเผชิญสืบ อาคารพาณิชย์เลขที่ 51/29 หมู่ที่ 4 ตำบลบ้านสวน อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี ซึ่งเป็นอาคารพาณิชย์พิพาทคดีนี้ (เดินเผชิญสืบ)

วัตถุประสงค์ของการยื่นบัญชีพยาน (1)


กำหนดระยะเวลา ยื่นบัญชีระบุพยานคดีแพ่ง 

1.การยื่นบัญชีระบุพยานครั้งแรก คดีแพ่ง

คู่ความจะต้องยื่นก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่า 7 วัน (ป.วิ.พ. ม.88 ว.1

คำว่า “วันสืบพยาน” นั้นหมายความว่า วันที่ศาลได้ทำการสืบพยานจริงๆ ไม่ใช่แต่เพียงวันที่ศาลกำหนดไว้ว่าเป็นวันนัดสืบพยาน แล้วเลื่อนไปไม่มีการสืบ  

ซึ่งทางปฏิบัติในคดีแพ่งสามัญ คดีผู้บริโภค คดีแรงงาน คดีมโนสาเร่ คดีไม่มีข้อยุ่งยาก ในวันนัดศาลครั้งแรก ศาลมักจะกำหนดนัดในหมายเรียก ให้จำเลยมาศาล เพื่อทำการ ไกล่เกลี่ย/ให้การ/สืบพยาน หรือ ไกล่เกลี่ย/สืบพยาน ไปในวันเดียวกัน 

แต่ทางปฏิบัติแล้ว หากจำเลยมาศาลในนัดแรก ศาลก็จะทำการไกล่เกลี่ยกันก่อน หากไกล่เกลี่ยกันไม่ได้ ก็จะเลื่อนไปนัดพร้อม หรือนัดชี้สองสถาน และกำหนดวัดนัดสืบพยานต่อไปภายหลัง

โดยจะไม่ได้ทำการสืบพยานกันจริงในวันนัดแรก เช่นนี้ กำหนดระยะเวลา 7 วัน ก็ยังไม่เริ่มนับ โดยจะนับในวันที่มีการสืบพยานกันจริงๆเท่านั้นโดยมีตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกา เช่น ฎ.959/2493 ,ฎ.450/2521 ,ฎ.637/2520

ทั้งนี้ในการปฏิบัติงานจริงๆของทนายความนั้น ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายโจทก์หรือจำเลย เราก็มักจะยื่นบัญชีระบุพยานครั้งแรกไปพร้อมกับคำฟ้องและคำให้การ เพื่อป้องกันการหลงลืมยื่นบัญชีระบุพยานครั้งแรกส่วนบัญชีพยานเพิ่มเติมนั้น ก็จะยื่นเพิ่มเติมตามมาในภายหลัง   

หากคู่ความฝ่ายใดไม่ได้ยื่นบัญชีระบุพยานครั้งแรกภายในเวลาที่กฎหมายกำหนด จะไม่มีสิทธิยื่นบัญชีพยานเพิ่มเติม และหากคู่ความฝ่ายนั้นจะขอยื่นบัญชีระบุพยานครั้งแรกเมื่อพ้นกำหนด ก็จะต้องมีเหตุสมควร (อ่านในข้อ 2.2)

2.การยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติม คดีแพ่ง

 คือเป็นการยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติม แบบที่กฎหมายให้สิทธิกระทำได้อยู่แล้ว  คือการที่คู่ความที่ได้ยื่นบัญชีระบุพยานครั้งแรกภายในกำหนดระยะไว้แล้ว หากประสงค์จะยื่นเพิ่มเติม ก็สามารถยื่นได้ภายในกำหนด 15 วัน นับแต่วันสืบพยานครั้งแรก (ป.วิ.พ.ม.88 ว.2) 

 ซึ่งวันสืบพยาน ก็หมายถึงวันที่ได้มีการสืบพยานจริงๆเท่านั้น ตามที่ได้อธิบายข้างต้น

การยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมแบบธรรมดานั้น เป็นสิทธิของคู่ความ จะยื่นเพิ่มเติมกี่ครั้งก็ได้ ภายในกำหนดระยะเวลา 15 วัน นับแต่วันที่สืบพยานครั้งแรก ไม่จำเป็นต้องมีสาเหตุอ้างอิงใดๆก็ได้ 

โดยธรรมดาแล้วการยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมกรณีนี้จะทำเป็น “คำแถลง” โดยใช้ชื่อว่า “ คำแถลงขอยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมครั้งที่ …. “ โดยไม่จำต้องต้องบรรยายเหตุผลที่จะขอเพิ่มเติมก็ได้ เพียงแค่แจ้งให้ศาลทราบว่าต้องการยื่นบัญชีพยานเพิ่มเติมเท่านั้น 

ตัวอย่างเนื้อหา คําแถลงขอยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติม กรณียื่นภายในกำหนดระยะเวลาตามกฎหมาย

คำแถลงขอยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติม ครั้งที่ 1 

ข้อ 1.คดีนี้ศาลที่เคารพโปรดนัดสืบพยานโจทก์และจำเลยในวันที่ 1-2 มีนาคม 2565 

ข้อ 2.ทนายความโจทก์มีความประสงค์ขอยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมจำนวน 5 อันดับ ตามบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมที่ได้แนบมาพร้อมกันนี้ เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ขอศาลที่เคารพโปรดอนุญาต 

         ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด 

3.การยื่นบัญชีระบุพยานเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาตามกฎหมายแล้ว

กรณีนี้ เป็นการที่คู่ความต้องการยื่นบัญชีระบุพยานครั้งแรก หรือยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติม ภายหลังจากพ้นกำหนดระยะเวลาตามกฎหมายแล้ว ซึ่งตามธรรมดาแล้วไม่สามารถกระทำได้ เว้นแต่เข้าหลักข้อยกเว้นตามกฎหมาย (ป.วิ.พ.ม. 88 ว.3)

โดยการยื่นบัญชีระบุพยานครั้งแรก หรือบัญชีระบุเพิ่มเติมในกรณีนี้จะต้องทำเป็น “คำร้อง” โดยใช้ชื่อว่า “ คำร้องขออนุญาตยื่นบัญชีระบุพยาน”

โดยการบรรยายคำร้องดังกล่าว จะต้องอธิบายให้ชัดเจนถึงข้อยกเว้น และเหตุอันสมควรที่ศาลจะอนุญาตให้ยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติม ซึ่งเป็นดุลยพินิจของศาลที่นั่งพิจารณาว่าจะอนุญาตหรือไม่ 

กำหนดระยะเวลายื่นบัญชีระบุพยาน คดีแพ่ง

เหตุสมควรในการยื่นบัญชีระบุพยานเภายหลังเวลาที่กฎหมายกำหนดก็คือ 

เหตุแรก ไม่สามารถทราบได้ว่าจะต้องนำพยานหลักฐานมาสืบ 

ตัวอย่างเช่น 

คู่ความทราบว่ามีพยานหลักฐานดังกล่าวอยู่แล้ว แต่มีเหตุที่ทำให้คู่ความเข้าใจได้ว่า พยานหลักฐานดังกล่าวไม่เกี่ยวข้องกับประเด็นในคดีนี้เลย และพึ่งปรากฎเหตุในภายหลังว่า พยานหลักฐานดังกล่าวเกี่ยวข้องกับประเด็นข้อพิพาทในคดีนี้

ซึ่งอาจเป็นเพราะฝ่ายตรงข้ามพึ่งกล่าวอ้างข้อเท็จจริงขึ้นใหม่ หรืออ้างเอกสารหลักฐานขึ้นใหม่ เป็นต้น ( ฎ.470/2518 ,ฎ.251-252/2508 ,ฎ.660/2545 )

เหตุที่สอง ไม่ทราบว่าพยานหลักฐานดังกล่าวได้มีอยู่ 

ตัวอย่างเช่น

คู่ความไม่เคยทราบเลยว่า มีพยานหลักฐานชิ้นดังกล่าวอยู่ จนกระทั่งผ่านไปภายหลัง ได้เริ่มทำการสืบพยานไป หรือเกิดเหตุการณ์อย่างใดอย่างหนึ่งขึ้น จึงทราบว่ามีพยานหลักฐานชิ้นดังกล่าวอยู่ และเป็นพยานหลักฐานสำคัญในคดี ( ฎ.7362/2544ฎ.914/2527 , ฎ.402/2513)

เหตุที่สาม  มีสาเหตุสมควรอื่นใด 

ตัวอย่างเช่น

พยานหลักฐานดังกล่าวเป็นเอกสารราชการที่มีความน่าเชื่อถือ สามารถตรวจสอบได้โดยง่าย เป็นที่รู้กันอยู่ทั่วไปในวงกว้าง การรับฟังเอกสารหลักฐานดังกล่าว ไม่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่คู่ความฝ่ายตรงข้าม

หรือ 

พยานหลักฐานดังกล่าว เป็นพยานที่สำคัญในคดีเป็นอย่างมาก และเป็นพยานหลักฐานที่มีความน่าเชื่อถือเป็นอย่างสูง ประกอบกับคดีดังกล่าวเป็นคดีที่มีทุนทรัพย์สูงหลายร้อยล้านบาท หรือเป็นคดีเกี่ยวด้วยสิทธิในสภาพบุคคล สิทธิในครอบครัว หรือสิทธิในอสังหาริมทรัพย์ อันเป็นคดีสำคัญ  

ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกา เช่น (ฎ.53/2552 , ฎ.1034/2503  ฎ.578/2508 , ฎ.587/2509 ,ฎ.1465/2515 ,ฎ.1024/2524  ,ฎ.2098/2520 )

ถ้ามีสาเหตุใดสาเหตุหนึ่ง 3 ประการดังกล่าว และศาลเห็นว่า เพื่อให้การวินิจฉัยชี้ขาดประเด็นข้อสำคัญในคดีเป็นไปโดยเที่ยงธรรม จำเป็นที่จะต้องสืบพยานหลักฐานดังกล่าว ศาลก็จะอนุญาตให้คู่ความยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมภายหลังจากระยะเวลา 15 วันนับแต่วันสืบพยานก็ได้ 

ทั้งนี้หากคู่ความฝ่ายใดยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติม ภายหลังเวลาที่กฎหมายกำหนด โดยไม่บรรยายเหตุสมควรดังกล่าว ศาลชอบที่จะไม่รับบัญชีระบุพยานดังกล่าวได้ทันที ( ฎ.2591/2520 ,ฎ.1471/2529 , ฎ.943/2512

ตัวอย่าง คําร้องขอยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติม กรณียื่นภายหลังระยะเวลาตามที่กฎหมายกำหนด 

คำร้องขอยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติม ครั้งที่ 2 

ข้อ 1.คดีนี้ศาลที่เคารพโปรดนัดสืบพยานโจทก์ไปเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 และมีนัดสืบพยานจำเลยอีกครั้งในวันนี้ คือ วันที่ 1 มีนาคม 2564 

ข้อ 2.เนื่องจากภายหลังจากการสืบพยานโจทก์ไปแล้ว จำเลยเพิ่งทราบว่า มีความจำเป็นจะต้องสืบพยานหลักฐานเพิ่มเติม เนื่องจากโจทก์ได้กล่าวอ้างในการสืบพยานว่า โจทก์ได้ซื้อที่ดินจากจำเลย และได้ชำระเงินค่าที่ดินที่ซื้อ โดยถอนเงินจากบัญชีธนาคารกสิกรไทย สาขาโลตัสชลบุรี ชื่อบัญชีโจทก์ โดยถอนเงินมาเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2563 

ซึ่งจำเลยได้ต่อสู้คดีตลอดมาว่าไม่เคยขายที่ดินพิพาทให้กับจำเลย และไม่เคยได้รับเงินค่าที่ดินจากโจทก์ ดังนั้นจำเลยจึงมีความประสงค์ขอยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมคือ คําขอเปิดบัญชีและตัวอย่างการเดินบัญชีธนาคารของโจทก์ที่ธนาคารกสิกรไทย สาขาโลตัส ชลบุรี มาเพื่อใช้ในการสืบพยาน และหักล้างคำเบิกความของโจทก์ที่ว่าได้ถอนเงินมาให้กับจำเลย 

ข้อ 3.ซึ่งคดีนี้มีประเด็นข้อพิพาทที่เถียงกันเพียงประเด็นเดียวว่า จำเลยได้ขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์หรือไม่ และโจทก์ชำระเงินค่าที่ดินพิพาทให้กับจำเลยหรือไม่ ซึ่งพยานหลักฐานดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานที่สำคัญที่จะใช้สำหรับการวินิจฉัยชี้ขาดประเด็นข้อสำคัญในคดี 

ด้วยเหตุดังจำเลยประทานกราบเรียนต่อศาลที่เคารพ เพื่อให้ศาลได้รับทราบข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานอย่างครบถ้วนรอบด้าน ก่อนพิพากษาตัดสินคดี จึงขอศาลที่เคารพโปรดอนุญาตให้จำเลยยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติม จำนวน 1 อันดับ ตามบัญชีพยานเพิ่มเติมที่ได้แนบมาพร้อมกันนี้ เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ขอศาลที่เคารพโปรดอนุญาต 

ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด 

ทั้งนี้ไม่ว่าศาลจะสั่งอนุญาตหรือไม่ ย่อมถือเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาที่ไม่ทำให้คดีเสร็จสำนวน คู่ความที่ไม่พอใจคำสั่งดังกล่าว จะอุทธรณ์คัดค้านคำสั่งนั้นเลยไม่ได้ แต่จะต้องโต้แย้งคำสั่งระหว่างพิจารณาดังกล่าวไว้ และใช้สิทธิในการอุทธรณ์ภายหลังเมื่อศาลมีคำพิพากษาแล้ว ( ป.วิ.พ.ม.226) และ ฎ.1532/2525 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่น่าสนใจอื่นๆ ที่วินิจฉัยประเด็นเรื่องการขอยื่นบัญชีระบุพยาน ภายหลังจากเวลาที่กฎหมายกำหนดแล้ว เช่น ฎ.5321/2531 , ฎ.4540/2536 , , ฎ.770/2520 , ฎ.3502/2532 ,ฎ.3132/2530 ,ฎ.2119/2518 ,ฎ.1763-1764/2523 ,ฎ,1379/2546 

นอกจากนี้ ยังสามารถศึกษาเรื่องการยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมภายหลังจากพ้นกำหนดระยะเวลาตามกฎหมาย  ได้จากบทความเรื่อง

การอ้างพยานเพิ่มเติม ภายหลังจากพ้นกำหนดระยะเวลาตามกฎหมาย 

ซึ่งผมเคยเขียนไว้อย่างละเอียด พร้อมยกตัวอย่างการทำงานจากประสบการณ์จริงมาเป็นตัวอย่างครับ


กำหนดระยะเวลา ยื่นบัญชีระบุพยานคดีอาญา 

กำหนดระยะเวลาในการยื่นบัญชีระบุพยานในคดีอาญานั้น มีความแตกต่างกันไปตามแต่รูปคดี ไม่เหมือนกับคดีแพ่งที่ใช้หลักเกณฑ์เดียวกันในทุกคดี 

กำหนดระยะเวลาในการยื่นบัญชีระบุพยานในคดีอาญานั้น อาจแบ่งออกเป็น 3 กรณีด้วยกัน ขึ้นอยู่กับลักษณะการดำเนินคดีนั้นๆ

 โดยอธิบายได้ดังนี้  

กรณีแรก กำหนดระยะเวลายื่นบัญชีระบุพยาน ในคดีอาญา ที่ศาลกำหนดให้มีวัดนัดตรวจพยานหลักฐาน ก่อนการสืบพยาน

ธรรมดาแล้วในปัจจุบันนี้ ในคดีอาญาที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ยื่นฟ้องแทบทุกคดี ศาลจะมีการกำหนดให้มีวันนัดตรวจพยานหลักฐานก่อนการสืบพยานอยู่เสมอ

ดังนั้นแล้วการยื่นบัญชีระบุพยานในลักษณะนี้จึงเป็นเรื่องที่จะต้องพบเจอบ่อย 

1.การยื่นบัญชีระบุพยานครั้งแรก กรณีศาลกำหนดวันตรวจพยานหลักฐาน

ในกรณีที่ศาลกำหนดให้มีวันนัดตรวจพยานหลักฐาน ก่อนทำการสืบพยาน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 173/1 คู่ความทุกฝ่ายจะต้องยื่นบัญชีระบุพยานครั้งแรก ก่อนวันนัดตรวจพยานหลักฐานไม่น้อยกว่า 7 วัน

อ่านเพิ่มเติมเรื่อง วันนัดตรวจพยานหลักฐานได้ในบทความเรื่อง “สรุปข้อกฎหมายและเทคนิคทางปฏิบัติ ในวันนัดตรวจพยานหลักฐาน” 

หากคู่ความฝ่ายใดไม่ได้ยื่นบัญชีระบุพยานครั้งแรกภายในเวลาที่กฎหมายกำหนด ย่อมไม่มีสิทธิขอยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติม และหากประสงค์จะยื่นบัญชีระบุพยานครั้งแรกเมื่อพ้นกำหนดแล้ว จะต้องมีเหตุอันสมควร (

2. การยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติม

คู่ความที่ได้ยื่นบัญชีระบุพยานก่อนวันตรวจพยานหลักฐานไม่น้อยกว่า 7 วัน ย่อมสามารถยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมได้ ก่อนทำการตรวจพยานหลักฐานเสร็จสิ้น (ป.วิ.อ.ม.173/1 วรรคสอง)

ด้วยการยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมดังกล่าวให้ทำเป็น “คำร้อง” โดยไม่ต้องบรรยายสาเหตุที่ต้องการยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมแต่อย่างใด เพราะเป็นสิทธิตามกฎหมายอยู่แล้ว 

ตัวอย่างเช่น

คําร้องขอยื่นบัญชีระบุพยานจำเลยเพิ่มเติม ครั้งที่ 1 

ข้อ 1.คดีนี้ศาลที่เคารพโปรดมีนัดตรวจพยานหลักฐานในวันนี้ จำเลยยื่นบัญชีระบุพยานครั้งแรกตามกฎหมายไว้แล้ว

ข้อ 2.จำเลยมีความประสงค์จะยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมครั้งที่ 1 จำนวน 5 อันดับ รายละเอียดปรากฏตามบัญชีระบุพยานที่ได้แนบมาพร้อมกันนี้เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมขอศาลที่เคารพโปรดอนุญาต 

ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด

3. การยื่นบัญชีระบุพยานหลังจากเกินกำหนดระยะเวลาตามกฎหมาย 

หากคู่ความได้มีการยื่นบัญชีระบุพยานครั้งแรกไปแล้ว  หรือคู่ความฝ่ายใด ไม่ได้ยื่นบัญชีระบุพยานครั้งแรกภายในกำหนดระยะเวลาตามกฎหมาย 

หากคู่ความฝ่ายนั้นมีความประสงค์จะยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติม หรือขอยื่นบัญชีระบุพยานครั้งแรกหลังพ้นกำหนดระยะเวลาตามกฎหมาย จะต้องขออนุญาตจากศาล และจะต้องแสดงเหตุอันสมควรในการยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติม

เหตุสมควร ได้แก่

1.ไม่สามารถทราบถึงพยานหลักฐานดังกล่าวมาก่อนได้

ตัวอย่างเช่น ภายหลังกำหนดวันนัดตรวจพยานหลักฐานไปแล้ว เพิ่งปรากฏพยานหลักฐานใหม่ หรือจำเลยเพิ่งทราบว่ามีพยานหลักฐานใหม่ดังกล่าว 

2.กรณีมีความจำเป็นเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม 

ตัวอย่างเช่น พยานหลักฐานดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานที่สำคัญที่จะบ่งชี้ว่าจำเลยมีความผิดหรือบริสุทธิ์ ซึ่งเป็นพยานหลักฐานที่มีน้ำหนักน่าเชื่อถือ เช่นเป็นเอกสารราชการ การนำสืบพยานหลักฐานดังกล่าว จะทำให้ศาลวินิจฉัยคดีได้อย่างเที่ยงธรรม 

3.เพื่อเปิดโอกาสให้จำเลยต่อสู้คดีอย่างเต็มที่ 

ตัวอย่างเช่น คดีดังกล่าวเป็นคดีที่มีอัตราโทษจำคุกตลอดชีวิต จำเลยให้การปฏิเสธต่อสู้คดีตลอดมา อีกทั้งจำเลยถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำ เป็นการยากที่จำเลยจะเสาะแสวงหาหรือทราบว่ามีพยานหลักฐานใดอยู่ ดังนั้นจึงสมควรเปิดโอกาสให้จำเลยยื่นบัญชีพยานเพิ่มเติมเพื่อต่อสู้คดีกันเต็มที่ 

หากศาลเห็นว่ามีเหตุสมควรอย่างใดอย่างหนึ่งตามข้อ 1-3 ศาลก็อาจจะอนุญาตให้คู่ความยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมได้ (ป.วิ.อ.ม.173/1 วรรคสาม )

ทางปฏิบัติแล้วการยื่นบัญชีระบุพยานหรือการยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมในคดีอาญานั้น ศาลจะไม่ค่อยเคร่งครัดมาก โดยเฉพาะกับฝ่ายจำเลย ที่ศาลมักจะเปิดโอกาสให้ต่อสู้คดีอย่างเต็มที่อยู่แล้ว 

แต่อย่างไรก็ตาม การบรรยายคำร้องเราควรจะบรรยายสาเหตุให้ครบถ้วนตามที่กฎหมายกำหนด 

เพราะหากฝ่ายตรงข้ามคัดค้านการขอยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติม หรือเจอศาลที่เคร่งครัดในตัวบทกฎหมาย และคำร้องของเราไม่ได้บรรยายสาเหตุตามที่กฎหมายกำหนดไว้ ศาลก็อาจจะไม่อนุญาตให้ยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติม 

ดังนั้น การทำคำร้องขอยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมภายหลังระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด จะต้องทำเป็นคำร้องและอธิบายสาเหตุดังกล่าวให้ครบถ้วน ตัวอย่างเช่น 

ตัวอย่างเช่น 

คำร้องขอยื่นบัญชีระบุพยานจำเลยเพิ่มเติม ครั้งที่ 2

ข้อ 1.คดีนี้ศาลที่เคารพโปรดนัดสืบพยานจำเลยในวันนี้ 

ข้อ 2.เนื่องจากในคดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยข้อหาพยายามฆ่า โดยอ้างว่ามีประจักษ์พยาน 2 ปาก เป็นคนพบเห็นจำเลยในวันเกิดเหตุ 

แต่ปรากฏว่า ภายหลังจากการสืบพยานโจทก์ไปแล้ว จำเลยได้ข้อมูลมาจากเพื่อนของโจทก์ได้ส่งข้อความและรูปถ่ายมาบอกว่า วันเกิดเหตุประจักษ์พยานโจทก์ทั้งสองปาก เดินทางออกไปทำงานนอกประเทศ และไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุในวันเกิดเหตุ รายละเอียดเบื้องต้นปรากฏตามสำเนาหนังสือเดินทางของประจักษ์พยานโจทก์ทั้งสองปากที่ได้แนบมาพร้อมกันนี้ 

ข้อ 3.กรณีจึงถือว่าจำเลยไม่เคยทราบว่ามีพยานหลักฐานดังกล่าวมาก่อน และพยานหลักฐานดังกล่าวเป็นพื้นฐานสำคัญที่จะใช้พิสูจน์ความจริงในคดี กรณีมีเหตุสมควรเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมและเพื่อให้จำเลยต่อสู้คดีอย่างเต็มที่ 

จำเลยจึงประทานกราบเรียนต่อศาลที่เคารพ ขออนุญาตยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติม ครั้งที่ 1 จำนวน 3 อันดับ ตามบัญชีพยานเพิ่มเติมที่แนบมาพร้อมกันนี้ เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมขอศาลที่เคารพโปรดอนุญาต 

ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด 


กรณีที่ 2.การยื่นบัญชีระบุพยาน ในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง หรือในชั้นพิจารณาในคดีที่ศาลไม่ได้กำหนดวันนัดตรวจพยานหลักฐาน ก่อนการสืบพยาน

ในคดีที่ราษฎรเป็นโจทก์ยื่นฟ้องคดีด้วยตนเอง ศาลจะต้องกำหนดวันนัดไต่สวนมูลฟ้องก่อนเสมอ

(อ่านเพิ่มเติมเรื่องการไต่สวนมูลฟ้องได้ในบทความเรื่อง การไต่สวนมูลฟ้องตามกฎหมายใหม่ ซึ่งผมเขียนอธิบายไว้อย่างละเอียด)

หรือในคดีบางคดีที่ในชั้นพิจารณาศาลกำหนดให้มีการสืบพยานไปเลย โดยไม่ได้กำหนดวันนัดตรวจพยานหลักฐานก่อน (ซึ่งส่วนใหญ่จะไม่ค่อยมีแล้ว)

ในคดีทั้ง 2 ประเภทดังกล่าวมีกำหนดระยะเวลายื่นบัญชีระบุพยาน ดังนี้ 

1.กำหนดระยะเวลายื่นบัญชีระบุพยานครั้งแรก  

สำหรับฝ่ายโจทก์ จะต้องยื่นบัญชีระบุพยานก่อนวันนัดไต่สวนมูลฟ้องหรือวันสืบพยานไม่น้อยกว่า 15 วัน 

ซึ่งคำว่าวันไต่สวนมูลฟ้องหรือวันสืบพยานนั้น หมายความถึงวันที่มีการไต่สวนมูลฟ้องหรือสืบพยานจริงๆ 

หากศาลมีกำหนดวันนัดไต่สวนมูลฟ้องหรือสืบพยานไว้ แต่มีการเลื่อนนัดโดยไม่ได้มีการไต่สวนมูลฟ้องหรือสืบพยานจริงๆ กำหนดระยะเวลานี้ก็ยังไม่นับ 

ซึ่งในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง หากโจทก์ยื่นบัญชีระบุพยานไว้แล้ว ย่อมถือว่าเป็นการยื่นบัญชีระบุพยานในทั้งคดี ซึ่งรวมถึงชั้นพิจารณาด้วย ( ฎ.2409/2523 ,ฎ.1512/2530

แต่สำหรับฝ่ายจำเลย กฎหมายให้สิทธิ์ในการต่อสู้คดีไว้อย่างกว้างขวางมากกว่าฝ่ายโจทก์ โดยฝ่ายจำเลยอาจจะยื่นบัญชีระบุพยานได้ก่อนวันนัดสืบพยานจำเลย ซึ่งคำว่า “วันสืบพยานจำเลย” ก็หมายถึงวันที่มีการสืบพยานจำเลยจริงๆ เช่นเดียวกัน ไม่ใช่วันที่เพียงนัดไว้แล้วเลื่อนไป ( ปวิอ.ม. 229/1 ) 

หากคู่ความฝ่ายใดไม่ได้ยื่นบัญชีระบุพยานครั้งแรกภายในเวลาที่กฎหมายกำหนด ย่อมไม่มีสิทธิยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมภายหลัง และหากต้องการยื่นบัญชีระบุพยานครั้งแรก ภายหลังเวลาที่กฎหมายกำหนด จะต้องมีเหตุสมควรตามกฎหมาย (ดูข้อ 2.2)

2.การยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติม

หากฝ่ายโจทก์หรือจำเลยต้องการยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติม ต้องยื่นภายในกำหนดเดียวกันกับการยื่นบัญชีพยานครั้งแรก คือ ฝ่ายโจทก์ ไม่น้อยกว่า 15 วัน นับจากวันไต่สวนมูลฟ้องหรือสืบพยาน สำหรับฝ่ายจำเลยคือก่อนวันสืบพยานจำเลย (บัญชีพยานครั้งแรกกับบัญชีพยานเพิ่มเติม ใช้กำหนดเดียวกัน)

โดยการยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมในกรณีดังกล่าว ต้องทำเป็นคำร้อง โดยไม่ต้องอธิบายสาเหตุในการขอยื่นบัญชีระบุพยานแต่อย่างใด (ป.วิ.อ.ม.229/1 วรรคหนึ่ง)

ตัวอย่างเช่น

คำร้องขอยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติม ครั้งที่ 1

ข้อ 1.คดีนี้ศาลที่เคารพโปรดนัดสืบพยานจำเลยในวันพรุ่งนี้ 

ข้อ 2. ทนายความจำเลยยื่นบัญชีระบุพยานไว้แล้ว แต่ยังไม่ครบถ้วน ทนายความจำเลยมีความประสงค์ขอยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติม ครั้งที่ 1 จำนวน 5 อันดับ ตามบัญชีพยานเพิ่มเติมที่แนบมาพร้อมกันนี้ขอศาลที่เคารพโปรดอนุญาต 

ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด

3.การยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมเมื่อพ้นกำหนด

หากฝ่ายโจทก์หรือจำเลย ต้องการยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติม หรือยื่นบัญชีระบุพยานครั้งแรก ภายหลังจากพ้นกำหนดระยะเวลา ตามกฎหมายแล้ว คู่ความจะต้องทำเป็นคำร้องขออนุญาตยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติม ต่อศาล พร้อมแสดงให้ศาลเห็นว่า 

1.ตนเองไม่ทราบว่าจะต้องนำพยานหลักฐานบางอย่างมาสืบ

2.ไม่ทราบว่าพยานหลักฐานดังกล่าวได้มีอยู่

3.มีเหตุสมควรอื่นใด 

ถ้าศาลเห็นว่าจำเป็นจะต้องสืบพยานหลักฐานดังกล่าวเพื่อให้การวินิจฉัยชี้ขาดข้อสำคัญแห่งประเด็นเป็นไปโดยเที่ยงธรรมศาลก็มีอำนาจให้ยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมและนำสืบพยานหลักฐานดังกล่าวได้ (ป.วิ.อ.ม.229/1 วรรคสาม )

ตัวอย่าง

คําร้องขอยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติม ครั้งที่ 2

ข้อ 1 คดีนี้ศาลที่เคารพโปรดนัดไต่สวนมูลฟ้องในวันที่ 30 มกราคม 2564

โจทก์ยื่นบัญชีระบุพยานครั้งแรกไว้แล้วในวันที่ยื่นฟ้องคดี รายละเอียดปรากฏตามบัญชีพยานที่อยู่ในสำนวนของศาลแล้วนั้น 

ข้อ 2.แต่เนื่องจากโจทก์เพิ่งทราบว่ามีพยานหลักฐานที่จะต้องนำสืบเพิ่มเติม เนื่องจากเพิ่งได้คุยกับพยานคนใหม่ที่มาแจ้งเหตุการณ์ให้ทราบ เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2564 และพยานเพิ่งเล่าข้อเท็จจริงเพิ่มเติมให้โจทก์ทราบ

ข้อ 3. โจทก์จึงมีความประสงค์จะขอยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติม จำนวน 2 อันดับ ตามบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมที่ได้แนบมาพร้อมกันนี้ ซึ่งพยานดังกล่าว เป็นพยานสำคัญในคดีนี้ที่สามารถชี้ขาดประเด็นข้อพิพาทในคดีให้เป็นไปโดยเที่ยงธรรม

เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม จึงขอศาลที่เคารพโปรดอนุญาตให้โจทก์ยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติม ตามบัญชีพยานเพิ่มเติมที่แนบมาพร้อมกันนี้ เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมขอศาลที่เคารพอนุญาต 

ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด 


กรณีที่ 3. การยื่นบัญชีระบุพยาน ในการไต่สวนเรื่องขอคืนหรือขอริบทรัพย์ของกลาง 

ในการไต่สวนคำร้อง เรื่องขอคืนทรัพย์สินของกลาง หรือ ในคดีที่พนักงานอัยการขอให้ศาลสั่งริบทรัพย์สินของกลาง จะมีกำหนดระยะเวลาในการยื่นบัญชีพยานที่เป็นเอกเทศ แตกต่างจากการพิจารณาคดีทั่วไป

กล่าวคือ คู่ความทั้งสองฝ่ายจะต้องยื่นบัญชีระบุพยานก่อนวันทำการไต่สวนคำร้องไม่น้อยกว่า 7 วัน ส่วนการยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมหลังจากกำหนดดังกล่าว ใช้หลักการเดียวกันกับกรณีที่ 2 ทุกประการ (ป.วิ.อ.ม.229/1 วรรคสอง )


ข้อยกเว้นไม่ต้องยื่นบัญชีระบุพยาน 

มีอยู่หลายกรณี ที่คู่ความได้รับยกเว้นตามกฎหมาย ไม่ต้องยื่นบัญชีระบุพยาน ได้แก่ 

1.การอ้างเอกสารประกอบการถามค้าน หรือการพิสูจน์ต่อพยาน

ในการถามค้านฝ่ายตรงข้ามนั้น ทนายความย่อมมีสิทธินำพยานเอกสาร เช่น สัญญา สมุดบัญชี หลักฐานการสนทนาผ่านโปรแกรมไลน์หรือเฟซบุ๊ก หรือพยานวัตถุ เช่น รูปถ่าย คลิปวีดีโอกล้องวงจรปิด มาใช้ถามค้านเพื่อทำลายน้ำหนักพยานฝ่ายตรงข้าม 

หากในการถามค้านนั้น พยานฝ่ายตรงข้ามได้เบิกความรับรองว่า เอกสารหรือวัตถุดังกล่าวมีอยู่จริง  ฝ่ายผู้ถามค้าน ย่อมสามารถอ้างพยานเอกสารหรือพยานวัตถุดังกล่าว ประกอบการพิจารณาได้ โดยไม่ต้องยื่นบัญชีระบุพยาน

โดยศาลฎีกาให้เหตุผลว่า  พยานเอกสารหรือพยานวัตถุดังกล่าว ไม่ถือเป็นเอกสารประกอบข้ออ้าง ข้อเถียง แต่เป็นเอกสารประกอบการถามค้านที่พยานฝ่ายตรงข้ามรับรองแล้ว

โดยมีตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกา เช่น ฎ.798-799/2499 ,ฎ.850/2534 , ฎ2251/2536 ,759/2508, 1461/2498 ,3470/2538  ,7812/2547 ,3770/2549 

2.การไต่สวนคำร้องขอต่างๆ 

การยื่นบัญชีระบุพยานก่อนวันนัดสืบพยานนั้น หมายถึงวันนัดสืบพยานในประเด็นข้อพิพาทหลักแห่งคดี แต่หากเป็นการนัดไต่สวนคำร้องขอต่างๆ เป็นเป็นประเด็นสาขาของคดี เช่น คำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การ คำร้องขอพิจารณาคดีใหม่ คำร้องขอเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ เช่นนี้ไม่อยู่ในบังคับจะต้องยื่นบัญชีพยานล่วงหน้าก่อนการไต่สวนแต่อย่างใด 

โดยมีตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกา เช่น ฎ.192/2517 , ฎ.4278/2532 ,ฎ.421/2532 , ฎ.6143/2531 ,ฎ.910/2523 

อย่างไรก็ตามถึงกฎหมายไม่ได้กำหนดว่า จะต้องยื่นบัญชีระบุพยานในการไต่สวนคำร้องสาขาคดีต่างๆ แต่การยื่นไว้ก็ไม่ผิดอะไร และจะมีผลดีเสียอีกด้วย เพราะหากยื่นบัญชีไว้พยานไว้แล้ว ย่อมใช่ได้ทั้งในชั้นพิจารณาประเด็นหลักของคดีด้วย (ฎ.583/2532 , ฎ.536-537/2536)

3.สำเนาเอกสารที่คู่ความแนบมาพร้อมคำฟ้อง คำให้การ

เอกสารที่คู่ความแนบมาท้ายคำฟ้องหรือคำให้การนั้น ถึงแม้ไม่ได้ยื่นบัญชีระบุพยานไว้ แต่คู่ความฝ่ายตรงข้ามก็มีโอกาสตรวจสอบเอกสารดังกล่าวได้ล่วงหน้าเป็นเวลานาน ไม่ทำให้คู่ความฝ่ายตรงข้ามเสียเปรียบ 

ศาลฎีกาจึงตีความว่า เอกสารที่แนบท้ายคำฟ้องคำให้การนั้น เป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้อง คำให้การ ดังกล่าวจึงนำสืบได้โดยไม่ต้องยื่นบัญชีระบุพยาน ( ฎ.9501/2542

แต่ทางปฏิบัติ เราก็ควรจะยื่นระบุเอกสารที่แนบไปท้ายคำฟ้อง และคำให้การ ไปในบัญชีระบุพยานให้เรียบร้อยนะครับ ไม่ควรถือเอาว่า แนบไปท้ายฟ้องหรือคำให้การแล้ว ไม่ระบุในบัญชีพยานก็ได้ เพราะจะได้ตัดปัญหาข้อโต้แย้งอันไม่จำเป็น

4.สิ่งที่ไม่ใช่เป็นพยานหลักฐานโดยตรง 

การยื่นบัญชีระบุพยานนั้นกฎหมายบังคับให้จะต้องยื่น เฉพาะพยานบุคคล พยานวัตถุ หรือพยานเอกสารที่จะใช้นำสืบประกอบข้ออ้างข้อเถียงของตนเท่านั้น 

ในกรณีที่สิ่งใดไม่ใช่เป็นพยานหลักฐานตามกฎหมายจึงไม่จำเป็นต้องยื่นบัญชีระบุพยานแต่อย่างใด 

ตัวอย่างเช่นคำแปลภาษาต่างประเทศ ไม่ใช่พยานหลักฐานโดยตรงเพราะพยานหลักฐานโดยตรงคือตัวต้นฉบับเอกสารไม่ใช่ตัวคำแปล ดังนั้นคำแปลภาษาประเทศต่างประเทศจึงไม่ใช่พยานหลักฐานที่จะต้องยื่นบัญชีระบุพยาน (ฎ.1349/2521

แต่ทางปฏิบัติในการอ้างเอกสารต่างประเทศเป็นพยาน ในบัญชีพยานก็ควรระบุถึงคำแปลด้วยครับ เพื่อไม่ต้องเป็นปัญหาถกเถียงกัน 

5.พยานหลักฐานที่ศาลเรียกมาสืบเอง 

กฎเกณฑ์เรื่องการยื่นบัญชีระบุพยานนั้น ใช้บังคับกับคู่ความเท่านั้น ดังนั้นถ้าศาลใช้อำนาจเรียกพยานหลักฐานใดมาสืบในฐานะเป็นพยานหลักฐานของศาลเอง  ก็ไม่จำเป็นต้องระบุพยานหลักฐานเหล่านั้นไว้ในบัญชีพยาน  โดยมีตัวอย่างเช่น ฎ.2301/2545 ,ฎ.1565/2550 

กล่าวโดยสรุปแล้ว ถึงแม้จะได้รับยกเว้นไม่ต้องยื่นบัญชีระบุพยานตามกฎหมาย แต่หากมีโอกาส หรือไม่หลงลืมก็ควรจะยื่นไว้เป็นดีที่สุด 

ผลของการนำสืบพยานหลักฐาน โดยไม่ยื่นบัญชีระบุพยาน 

หากคู่ความนำสืบพยานบุคคล พยานเอกสาร พยานวัตถุ โดยไม่ได้ทำการยื่นบัญชีระบุพยาน  ภายในกำหนดระยะเวลาและวิธีการตามที่กฎหมายกำหนด 

ศาลย่อมไม่อนุญาตให้นำพยานหลักฐานดังกล่าวเข้าสืบ หรือหากศาลเผลอปล่อยให้มีการนำสืบพยานหลักฐานเช่นว่าเข้าสู่สำนวนแล้ว ศาลก็จะไม่สามารถรับฟังพยานหลักฐานดังกล่าวได้ (ฎ.566/2540

ทั้งนี้ในชั้นพิจารณาหากคู่ความฝ่ายใด อ้างพยานหลักฐานที่ไม่ได้ยื่นบัญชีระบุพยานต่อศาลไว้ ก็เป็นหน้าที่คู่ความฝ่ายตรงข้ามที่จะต้องโต้แย้ง ไม่ให้นำพยานหลักฐานดังกล่าวเข้าสืบ 

หากศาลยังทำการสืบพยานหลักฐานดังกล่าวต่อไป ย่อมถือเป็นกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ ที่คู่ความฝ่ายตรงข้ามสามารถยื่นขอเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบได้ (ปวิพ.ม.27 และ ฎ.288/2513

แต่อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะเป็นในคดีแพ่งหรือคดีอาญา หากศาลเห็นว่าเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมมีความจำเป็นจะต้องรับฟังหรือสืบพยานหลักฐานดังกล่าวซึ่งเป็นประเด็นข้อสำคัญในคดี หรือเพื่อให้การวจินฉัยชี้ขาดประเด็นในคดีเป็นไปโดยเที่ยงธรรม หรือให้โอกาสจำเลยในคดีอาญาต่อสู้คดีอย่างเต็มที่ ศาลก็อาจจะใช้ดุลพินิจให้นำสืบและรับฟังพยานหลักฐาน ที่ไม่ได้ยื่นบัญชีระบุพยาน  ทั้งนี้ตาม ปวิพ.ม.87(2) ,ปวิอ.ม.173/1,ปวิอ.ม.229/1

กล่าวโดยสรุปก็คือ พยานหลักฐานที่ไม่ได้ยื่นบัญชีระบุพยานนั้นต้องห้ามไม่รับฟัง แต่ก็ไม่ได้ต้องห้ามเด็ดขาด มีข้อยกเว้นในการให้ศาลใช้ดุลพินิจได้ค่อนข้างกว้างขวาง

ส่วนการใช้ดุลพินิจดังกล่าวนั้นก็ขึ้นอยู่กับผู้พิพากษาแต่ละคน แต่หากเราเป็นฝ่ายนำสืบพยานหลักฐาน ก็ไม่ควรบกพร่องหรือหลงลืมไม่ยื่นบัญชีระบุพยานโดยหวังเอาว่าศาลจะใช้ดุลพินิจรับฟังพยานหลักฐาน แต่ควรจะยื่นบัญชีระบุพยานให้ถูกต้องตามที่กฎหมายกำหนดในทุกคดี 

ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง เช่น ฎ.210/2504 , ฎ.288/2513 , ฎ.6108/2531, ฎ.2043/2540 ,9501/2542 , ฎ.539/2545 , ฎ.5412/2552 , ฎ.6624/2550 

ทั้งนี้ประเด็นสำคัญที่ศาลจะนำมาวินิจฉัยว่าควรรับฟังพยานหลักฐานที่ไม่ได้ยื่นบัญชีระบุพยานหรือไม่ ก็คือฝ่ายตรงข้ามได้โต้แย้งคัดค้านหรือไม่ และสาเหตุที่ไม่ได้ยื่นเป็นเพราะอะไร เป็นการจงใจจู่โจมทางพยานหรือไม่

เพราะวัตถุประสงค์ของการยื่นบัญชีระบุพยานก็เพื่อการป้องกันการเอาเปรียบฝ่ายตรงข้ามด้วยการจู่โจมทำพยานหลักฐานเป็นสำคัญ 

หากฝ่ายตรงข้ามไม่ติดใจโต้แย้งคัดค้านเรื่องการนำสืบพยานหลักฐานโดยไม่ได้ยื่นบัญชีระบุพยาน และเหตุที่ไม่ได้ยื่นบัญชีระบุพยานไม่ได้เป็นไปเพราะความจงใจหรือต้องการจู่โจมเอาเปรียบกันในเชิงคดี ก็มีโอกาสสูงที่ศาลอาจจะรับฟังพยานหลักฐานดังกล่าวได้ 


เทคนิคทางปฏิบัติ – การยื่นบัญชีระบุพยาน

สำหรับเทคนิคทางปฏิบัติในการทำงานจริง เท่าที่ผมรวบรวมได้มีดังนี้ 

1.การจัดทำบัญชีระบุพยานนั้น จะต้องทำสำเนาให้กับฝ่ายตรงข้ามเสมอ 

หากเป็นคดีที่มีฝ่ายตรงข้ามหลายคน ก็จะต้องจัดทำสำเนาบัญชีระบุพยานในจำนวนที่เท่ากับ คู่ความฝ่ายตรงข้ามเช่นคดีที่เราเป็นโจทก์มีจำเลย 7 คน ตอนทำบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมก็ต้องทำสำเนาให้ฝ่ายตรงข้ามจำนวน 7 ฉบับ 

รวมทั้งการทำคำร้องขอยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็นครั้งไหนก็จะต้องมีสำเนาคำร้องให้กับฝ่ายตรงข้ามครบตามจำนวนด้วย 

2.การระบุพยานเอกสาร ควรระบุทั้ง ต้นฉบับและสำเนา เช่น ต้นฉบับ/สำเนา สัญญากู้ยืมระหว่างโจทก์และจำเลย ลงวันที่ 15 มกราคม 2563 

3.ระบุพยานบุคคลก่อน แล้วค่อยระบุพยานเอกสารเพื่อความสะดวกในการหาและอ้างอิง

4.ทางปฏิบัติ เมื่อเราจะนำพยานบุคคลหรือพยานเอกสารได้เข้านำสืบจะต้องเตรียมเช็คล่วงหน้าอีกครั้งว่า พยานบุคคลหรือพยานเอกสารที่จะนำสืบ เป็นบัญชีระบุพยานครั้งที่เท่าไหร่ลำดับที่เท่าไหร่ เผื่อศาลถามจะสามารถตอบได้เลย 

5.ธรรมดาแล้วการยื่นบัญชีระบุพยานครั้งแรก ไม่ว่าจะเป็นคดีแพ่งหรือคดีอาญา ทนายความจะยื่นไปพร้อมคำฟ้องหรือคำให้การเลย เพื่อป้องกันการหลงลืมยื่นบัญชีระบุพยานภายในเวลาที่กฎหมายกำหนด 

6.ถึงแม้การยื่นบัญชีระบุพยานภายในกำหนดระยะเวลาตามกฎหมาย จะสามารถทำกี่ครั้งก็ได้  แต่ทางปฏิบัติ ไม่ควรจะยื่นบัญชีระบุพยานหลายครั้งเกินไป เพราะจะทำให้ไม่เรียบร้อย และเปิดหาลำบากเมื่อจะอ้างอิง 

7.การนับระยะเวลา 7 วัน หรือ 15 วัน ตามกฎหมายนั้น จะต้องนับเป็นวันเต็ม วันแรกที่ยื่นบัญชีระบุพยานไม่นับเป็น 1 วัน และ วันที่เริ่มสืบพยาน หรือวันตรวจพยานหลักฐาน ก็ไม่นับเป็น 1 วัน ทั้งนี้โดยนับรวมวันหยุดราชการด้วย  (ฎ.1066/2516 , ฎ.2519/2520) 

8.คดีที่เราเป็นทนายความโจทก์ร่วม โดยขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการ บัญชีพยานของพนักงานอัยการย่อมถือเป็นบัญชีพยานของโจทก์ร่วมด้วย เราไม่ต้องยื่นบัญชีระบุพยานซ้ำกับของพนักงานอัยการอีก ( ฎ.568/2513 )

แต่หากเราต้องการอ้างอิงพยานบุคคล พยานเอกสาร หรือพยานวัตถุ นอกเหนือจากของพนักงานอัยการ เราจึงค่อยยื่นบัญชีพยานเพิ่มเติมเข้าไป 

9.หากคู่ความฝ่ายตรงข้ามยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมภายหลังระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด หรือนำสืบพยานโดยไม่ได้ยื่นบัญชีพยาน โดยมีลักษณะเห็นว่าเป็นการจู่โจมกันทางพยานหรือเอาเปรียบกันในเชิงคดี เราก็ต้องคัดค้านในตอนนั้นเลย โดยควรทำคำร้องคัดค้านเป็นหนังสือยื่นต่อศาล หากไม่โต้แย้งคัดค้านไว้ อาจจะเป็นเหตุที่ทำให้ศาลอนุญาตหรือยอมรับฟังพยานดังกล่าวได้ 

10.หากเรามีความจำเป็นต้องยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติม ภายหลังระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด ต้องอย่าลืมอ้างเหตุสมควร ที่ศาลควรจะให้ยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมด้วย  อย่าระบุเพียงเหตุธรรมดาเช่น บัญชีพยานยังไม่สมบูรณ์ หรือหลงลืมยื่นไม่ครบถ้วน เพราะหากเจอศาลที่เคร่งครัด จะสามารถอนุญาตได้  


คำต่อท้ายบัญชีระบุพยาน 

ด้านท้ายของบัญชีระบุพยานจะมีช่องให้เขียนว่า พยานดังกล่าวเราจะนำมาสืบต่อศาลอย่างไร เพื่อให้ศาลและฝ่ายตรงข้ามเตรียมตัวได้ถูกต้อง 

ทั้งนี้หลักเกณฑ์ดังกล่าวไม่ได้มีกฎหมาย หรือระเบียบกำหนดไว้อย่างชัดเจนแต่อย่างใด เป็นแต่เพียงทางปฏิบัติที่ทำต่อๆกันมา 

โดยปกตินิยมใช้คำดังนี้  

  • คำว่า “นำ” หมายถึง เราจะนำพยานดังกล่าวมาศาลด้วยตนเอง ไม่ต้องใช้อำนาจศาลออกหมายเรียก
  • คำว่า “หมาย” หมายถึง เราไม่สามารถนำพยานดังกล่าวมาศาลได้ด้วยตนเอง แต่จะต้องขอให้ศาลออกหมายเรียกพยานบุคคลหรือพยานเอกสารหรือพยานวัตถุ ดังกล่าวมาใช้เป็นพยานที่ 3 
  • คำว่า “นำ/หมาย” หมายถึง เรายังไม่แน่ใจว่าจะสามารถนำพยานดังกล่าว มาเบิกความที่ศาลได้ด้วยตนเองหรือจะต้องขอหมายเรียกพยาน 
  • คำว่า “คำสั่งศาล” หมายถึง พยานหลักฐานดังกล่าวเราต้องการขอให้ศาลเป็นผู้ใช้อำนาจในการสั่งให้ได้มาซึ่งพยานหลักฐาน เช่น การขอให้ศาลสั่งให้เจ้าพนักงานที่ดินรังวัดทำแผนที่พิพาท การขอตรวจพิสูจน์สารพันธุกรรม DNA การขอเรียกสำนวนผูกติด เป็นต้น
  • คำว่า “ประเด็น” หมายถึงพยานบุคคลดังกล่าว เราต้องการขอให้ศาลส่งประเด็นไปสืบที่ศาลอื่น
  • คำว่า “เดินเผชิญสืบ” หมายถึงพยานวัตถุดังกล่าว เราต้องการขอให้ศาลไปเดินเผชิญสืบ เช่น การขอให้ศาลไปตรวจอาคารพาณิชย์พิพาท ในคดีก่อสร้าง เป็นต้น 
  • คำว่า “พยานเด็ก” หมายถึง พยานที่เป็นเด็กในคดีอาญาที่จะต้องใช้วิธีการนำสืบที่ต่างจากพยานทั่วไป 

ตัวอย่างการระบุพยานรูปแบบต่างๆ

ตำราอ้างอิงประกอบการเขียนบทความ – สำหรับค้นคว้าเพิ่มเติม

บทความฉบับนี้จะเกิดขึ้นมิได้เลย หากปราศจากตำราอันทรงคุณค่าของอาจารย์หลายท่าน ดังต่อไปนี้ 

  1. กฎหมายลักษณะพยานหลักฐาน จรัญ ภักดีธนากุล
  2. คำอธิบาย พยาน โสภน รัตนากร 
  3. คำอธิบาย พยานหลักฐานคดีแพ่งและคดีอาญา ธานี สิงหนาท 
  4. คำอธิบาย กฎหมายลักษณะพยานหลักฐาน พรเพชร วิชิตชลชัย
  5. คำอธิบาย กฎหมายลักษณะพยาน เข็มชัย ชุติวงษ์
  6. กฎหมายลักษณะพยาน รศ. มรกต ศรีจรุณรัตน์ 
  7. กฎหมายลักษณะพยาน ภาคปฏิบัติ สุโรจน์ จันทรพิทักษ์ 

ผู้สนใจสามารถศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมได้ในหนังสือต่างๆที่กล่าวถึงข้างต้น

Express your opinion about this article

comments

ทนายเอกสิทธิ์ ศรีสังข์

About ทนายเอกสิทธิ์ ศรีสังข์

ทนายความ/หัวหน้าสำนักงาน พิศิษฐ์ ศรีสังข์ ทนายความ ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายและรับว่าความทั่วราชอาณาจักร โทร 098-2477807 , 087-3357764 ไลน์ id - @srisunglaw (มี @ข้างหน้า)

Related Posts

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น