ในตอนที่แล้วผมได้เขียนถึงเรื่องการ การซักถามพยาน ในกรณีที่เราเป็นทนายความที่อ้างพยานขึ้นมาจะมีวิธีการซักถามพยานอย่างไรไปแล้ว
วันนี้ผมจะมาเขียนถึงเรื่องการถามค้าน เมื่อเราจะต้องขึ้นซักค้านพยานที่ฝ่ายตรงข้ามห้างมา จะมีเทคนิคและวิธีการอย่างไร ติดตามอ่านกันได้เลยครับ
การถามค้าน คืออะไร ?
ธรรมดาแล้วเมื่อมีการฟ้องร้องดำเนินคดีต่อศาลไม่ว่าจะเป็นคดีแพ่ง คดีอาญา หรือคดีประเภทใดก็ตาม คู่ความทั้งสองฝ่ายย่อมมีหน้าที่นำสืบแสดงพยานหลักฐานและข้อเท็จจริงต่อศาลเพื่อให้ศาลเชื่อตามข้อต่อสู้ของตนเอง
หนึ่งในพยานหลักฐานที่สำคัญที่สุด ในการนำสืบหรือแสดงต่อศาล ตั้งแต่สมัยโบราณเป็นต้นมา ก็คือ ”พยานบุคคล”
ซึ่งฝ่ายโจทก์หรือจำเลย ก็จะอ้างพยานบุคคลผู้รู้เห็นเหตุการณ์มาเล่าข้อเท็จจริงกับศาลเพื่อให้เกิดประโยชน์กับรูปคดีของตน
ธรรมดาแล้วพยานก็มักจะเบิกความหรือพูดข้อเท็จจริงในทำนองที่เป็นประโยชน์กับคู่ความฝ่ายที่อ้างพยานมา ตัวอย่างเช่นพยานฝ่ายโจทก์ ก็มักจะเบิกความหรือเล่าให้ศาลฟังเฉพาะในข้อเท็จจริงที่เป็นประโยชน์กับฝ่ายโจทก์เอง ส่วนพยานฝ่ายจำเลยก็จะเบิกความในส่วนที่ประโยชน์กับจำเลย
หากปล่อยให้พยานแต่ละฝ่ายเบิกความเฉพาะข้อเท็จจริงที่เป็นประโยชน์กับฝ่ายตัวเองแต่เพียงอย่างเดียว ย่อมเป็นการยากที่จะหาความจริง เพราะพยานแต่ละฝ่ายก็ต่างจะพูดแต่เรื่องที่เป็นประโยชน์ของฝ่ายตนเอง
ดังนั้นในระบบศาลยุติธรรมแทบจะทุกประเทศทั่วโลก จึงมักจะเปิดโอกาสให้ทนายความของคู่ความอีกฝ่ายหนึ่ง ได้ทำการแสวงหาความจริงจากพยานที่ฝ่ายตรงข้ามอ้างมาด้วยการ “ ถามค้าน “
ดังนั้นแล้ว การถามค้าน ก็คือการซักถามพยานที่ฝ่ายตรงข้ามอ้างมา เพื่อพิสูจน์ว่าพยานที่ฝ่ายตรงข้ามอ้างมา พูดเรื่องจริงหรือไม่ และยังมีข้อเท็จจริงใดที่เล่าไม่หมดหรือเปล่า
การถามค้านคือวิธีการแสวงหาความจริง และจับโกหกพยาน ที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด ตั้งแต่มนุษย์เคยค้นหาวิธีการมา ซึ่งแต่เดิมเราเคยมีวิธีพิสูจน์ความจริงหลายอย่าง ด้วยการบุกน้ำ ลุยไฟ สาบาน ต่อสู้กัน ฯลฯ
แต่กาลเวลาได้พิสูจน์แล้วว่าวิธีการถามค้าน โดยใช้เหตุผลเข้าว่ากล่าวกันกัน คือวิธีพิสูจน์ความจริงได้ดีที่สุดเท่าที่มนุษย์สามารถทำได้ในปัจจุบันนี้
การถามค้าน มีวัตถุประสงค์เพื่ออะไร ?
วัตถุประสงค์ของการถามค้าน มีด้วยกัน 2 ประการคือ
1.เพื่อจับเท็จหรือจับโกหกพยาน เพื่อแสดงให้ศาลเห็นว่าตัวพยานไม่น่าเชื่อถือ หรือสิ่งที่พยานเล่าไม่น่าเชื่อถือ
2.เพื่อให้พยานเบิกความถึงข้อเท็จจริง ที่เป็นประโยชน์แก่รูปคดีของเรา
การถามเพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ 2 ข้อดังกล่าว มีวิธีหลายประการเช่น
- ถามถึงประวัติที่ไม่ดีหรือประวัติในทางที่ไม่น่าเชื่อถือของพยาน
- ถามให้เห็นว่า พยานได้รับผลประโยชน์ที่มาเบิกความ
- ถามให้เห็นว่า พยานเป็นคนใกล้ชิดหรือเป็นญาติของฝ่ายตรงข้าม จะต้องเบิกความเข้าข้างฝ่ายตรงข้ามอยู่แล้ว
- ถามให้เห็นว่าพยานมีอคติ หรือมีสาเหตุโกรธเคืองกับฝ่ายเรา
- ถามไม่เห็นว่า ความรู้ความชำนาญของพยานมีข้อบกพร่องไม่น่าเชื่อถือ
- ถามให้เห็นว่า พยานเบิกความขัดแย้งกับเหตุผลความน่าจะเป็น
- ถามให้เห็นว่า พยานเบิกความขัดแย้งกับพยานปากอื่น
- ถามให้เห็นว่า พยานเบิกความขัดแย้งกับพยานเอกสารหรือพยานวัตถุ
- ถามให้เห็นว่า พยานเบิกความหรือให้การในแต่ละครั้งไม่เหมือนกันมีลักษณะกลับไปกลับมา
- ถามให้เห็นว่า พยานเบิกความขัดแย้งกับหลักวิชาการหรือเหตุผลทางวิทยาศาสตร์อันน่าเชื่อถือ
- ถามให้เห็นว่า พยานไม่น่าจะมีโอกาสจดจำหรือพบเห็นเหตุการณ์ที่กล่าวอ้างได้อย่างชัดเจน
- ถามให้เห็นว่า พยานอาจจะเข้าใจผิดไปเอง หรือเบิกความเอาข้อเท็จจริงมาระคนกับความคิดของตัวเอง
- ถามให้เห็นว่า จากข้อเท็จจริงที่พยานเบิกความยังมีโอกาสเป็นไปได้อย่างอื่นนอกเหนือจากที่พยานเบิกความ
- ถามให้เห็นว่า ยังมีข้อเท็จจริงส่วนอื่นที่เป็นประโยชน์แก่ฝ่ายเราแต่พยานยังไม่ได้เบิกความถึง
- ถามให้เห็นว่า ยังมีพยานบุคคลอื่นที่ยังรู้เห็นในเหตุการณ์แต่ยังเอามาเบิกความไม่หมด
และยังมีอีกหลายวิธีการถามค้าน เพื่อทำลายความน่าเชื่อถือของพยาน หรือเพื่อให้พยานเบิกความข้อเท็จจริงในส่วนที่เป็นประโยชน์กับเรา ขึ้นอยู่กับการปรับใช้และข้อเท็จจริงในแต่ละคดี สุดแล้วแต่ความสามารถของทนายความแต่ละคนที่จะพลิกแพลงใช้ในแต่ละสถานการณ์
การทราบวัตถุประสงค์ในการถามค้านเป็นเรื่องที่สำคัญมาก
ก่อนเริ่มทำการถามค้าน ทนายความผู้ทำการถาม จะต้องตั้งประเด็นไว้อยู่ในใจ และรู้เป้าหมายในการถาม ว่าที่ขึ้นถามพยานปากนั้น เราต้องการผลประโยชน์อย่างไรจากพยาบาลปากนั้น
การถามค้านไปโดยไม่มีวัตถุประสงค์ ถามค้านเพื่อโชว์ให้เห็นว่าลูกความทำงาน ถามค้านไปโดยไม่ได้ตั้งประเด็น นอกจากจะไม่เกิดประโยชน์แก่รูปคดีแล้ว ยังอาจก่อให้เกิดความเสียหายและผลเสียแก่รูปคดีมากกว่าผลดี
เพราะแทนที่จะได้ประโยชน์จากการถามค้าน กลายเป็นว่าเป็นการถามเพื่อให้พยานฝ่ายตรงข้ามเบิกความหนักแน่นและน่าเชื่อถือมากขึ้นไปอีก หรือฝ่ายตรงข้ามเบิกความในส่วนที่เป็นผลร้ายแก่ฝ่ายเรามากขึ้นไปอีก
แต่การถามค้านโดยรู้วัตถุประสงค์ในการถาม มีการตั้งประเด็นในการถามไว้อย่างชัดเจน จะทำให้เราทราบว่าควรจะตั้งคำถามแบบไหน และใช้วิธีถามพยานแบบไหน แล้วจะก่อให้เกิดประโยชน์ในการถามพยานปากนั้นอย่างแท้จริง
ดังนั้นก่อนที่จะขึ้นถามค้านพยานปากไหนก็ตาม เราจะต้องถามตัวเองก่อนว่า เราจะถามค้านพยานปากนี้ เพื่ออะไร ?
การหาวัตถุประสงค์หรือประเด็นที่ใช้ในการถามค้าน
อย่างที่บอกในข้อข้างต้นว่า การถามค้านนั้นจะต้องมีการตั้งประเด็นก่อน ว่าเรามีวัตถุประสงค์อย่างไรในการถามค้าน
แล้วเราจะหาวัตถุประสงค์ในการถามค้านหรือประเด็นในการถามค้านได้อย่างไร ?
คำตอบก็คือจะต้องทำดังต่อไปนี้ครับ
1.เราจะต้องสอบข้อเท็จจริงจากลูกความและพยานที่เกี่ยวข้องโดยละเอียดเพื่อให้ทราบข้อเท็จจริงทั้งหมดโดยรวมในเรื่องนั้น
2.เราต้องตรวจสอบพยานเอกสารและพยานวัตถุ ที่เกี่ยวข้องโดยละเอียด เพื่อให้ทราบเรื่องราวในคดีนั้นและข้อเท็จจริงในคดีให้มากที่สุด
3.เราจะต้องตรวจสอบเอกสารหลักฐานของฝ่ายตรงข้าม คำฟ้อง คำให้การ คำร้อง คำเบิกความพยานเคยให้การไว้ เพื่อให้ทราบประเด็นข้อต่อสู้หรือข้อเท็จจริงของฝ่ายตรงข้าม
4.หลังจากได้ข้อเท็จจริงครบถ้วนแล้วเราจะต้องตรวจสอบข้อกฎหมาย ทั้งจากคำอธิบายข้อกฎหมายจากอาจารย์ทางกฎหมายในเรื่องนั้นๆ คำพิพากษาศาลฎีกา ความเห็นของนักวิชาการ บทความที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเกี่ยวกับรูปคดีนั้นๆ
เมื่อเราเข้าใจข้อเท็จจริงในคดีอย่างรอบด้าน รวมถึงเข้าใจและรู้ข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับคดีนั้นทั้งหมดอย่างชัดแจ้งแล้ว เราจะรู้ได้เองว่าในคดีดังกล่าวจะแพ้ชนะกันในประเด็นไหน
ตัวอย่างเช่นในคดีกู้ยืม ท่านเป็นทนายความจำเลย เมื่อได้ศึกษาข้อเท็จจริงจากคำฟ้องคำให้การและพยานบุคคลพยานเอกสารที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งตรวจสอบข้อกฎหมายแล้ว ประเด็นข้อพิจารณาคดีมีอยู่ประเด็นเดียวว่า จำเลยได้รับเงินที่กู้ไปจากโจทก์หรือไม่
เช่นนี้ท่านก็จะทราบได้ทันทีว่าในการถามค้านพยานโจทก์แต่ละปาก ย่อมจะต้องมีวัตถุประสงค์หรือประเด็นในการถามค้านเพื่อให้พยานแต่ละปากเบิกความไปในทำนองว่าไม่น่าเชื่อว่ามีการส่งมอบเงินที่กู้ยืมจริง
ขั้นตอนการถามค้านโดยสังเขป
ธรรมดาแล้วทนายความฝั่งที่อ้างพยาน จะถามพยานของฝ่ายตนเองก่อน จนเมื่อทนายความฝั่งที่อ้างพยาน ถามพยานของฝ่ายตนเองจนสิ้นคำถามแล้ว ก็จะบอกกับศาลว่า “หมดคำถามครับ-ค่ะ”
หลังจากนั้น ทนายความฝ่ายตรงข้าม ก็จะมีสิทธิ์ลุกขึ้นถามค้าน และเมื่อเราทำการถามค้านเสร็จแล้ว ทนายความฝ่ายตรงข้ามก็มีสิทธิ์ถามติง
การถามค้าน พยานฝ่ายตรงข้าม ทนายความสามารถตั้งคำถามได้หลายรูปแบบ ไม่ได้อยู่ในข้อจำกัดห้ามใช้คำถามนำเหมือนการซักถามพยานที่ฝ่ายตนเองตั้งมา เว้นแต่คำถามที่เป็นการหมิ่นประมาทพยาน เว้นแต่คำถามนั้นจะเป็นข้อสาระสำคัญในอันที่จะชี้ขาดข้อพิพาท
.ห้ามมิให้ถามคำถามที่ทำให้พยานได้รับโทษอาญา เว้นแต่คำถามนั้นจะเป็นข้อสาระสำคัญในอันที่จะชี้ขาดข้อพิพาท (ในคดีอาญาห้ามเด็ดขาดโดยไม่มีข้อยกเว้นเหมือนคดีแพ่ง ตามประมวลกฏหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 234)
รวม 12 เทคนิคการถามค้าน ที่ทนายความต้องรู้
ผมได้รวบรวมเทคนิคการถามค้านเบื้องต้น ทั้งจากประสบการณ์ในการทำงานของผมเอง และจากในตำราที่น่าสนใจหลายเล่มมาสรุปได้ดังนี้
1.คิดคำถามค้าน โดยเริ่มจากการคิดคำตอบที่อยากได้
หมายความว่าในการคิดคำถามค้านหรือการตั้งคำถามค้านนั้น เราจะต้องคิดก่อนว่า เราต้องการให้พยานตอบคำถามเราว่าอย่างไร
แล้วเราค่อยคิดคำถามป้อนถามพยานเพื่อให้ตอบให้ได้ใกล้เคียงกับคำตอบที่เราต้องการ
การคิดคำตอบที่ต้องการให้พยายามตอบก่อนตั้งคำถามเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะจะทำให้เราตั้งคำถามได้อย่างถูกต้อง มีวัตถุประสงค์ในการถาม
ตัวอย่างเช่น คดีผิดสัญญากู้ เราต้องการให้พยานตอบว่า พยานไม่อยู่และไม่รู้เห็นในขณะทำสัญญากู้ เราก็ต้องตั้งคำถามว่า
- พยานทำงานอยู่ที่บริษัท เอกชนที่ชื่อว่า ….ใช่หรือไม่
- วันเกิดเหตุเป็นวันทำงานตามปกติใช่หรือไม่
- วันนั้นพยานก็ไปทำงานไม่ได้ลางานนะครับ
- ที่ทำงานของพยานไปจนถึงสถานที่ที่ทำสัญญาใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงนะครับ
- วันทำสัญญาพยานก็ทำงานอยู่ใช่ไหมครับ
- สรุปแล้วตอนขณะทำสัญญาและส่งมอบเงินกู้พยานก็ไม่ได้อยู่พยานมาเซ็นหลังเลิกงานใช่หรือไม่
จะเห็นได้ว่าการที่เราตั้งเป้าประสงค์มาตั้งแต่แรกว่าเราต้องการให้พยานตอบว่าอย่างไร จะทำให้เรารู้ว่าควรจะตั้งคำถามแบบไหนและอย่างไร
ดังนั้นจำไว้ว่า ในการคิดคำถามค้าน จะต้องคิดถึงคำตอบที่อยากให้พยายามตอบก่อนการตั้งคำถาม หลักง่ายๆมีอยู่ว่า “คำตอบจะต้องมาก่อนคำถาม ไม่ใช่ถามไปโดยไม่รู้ว่าอยากได้คำตอบอย่างไร “
2.ถามจากเหตุไปหาผล ใช้คำถามที่ห่างประเด็นก่อนไม่ให้พยานรู้ตัว
การถามค้านเพื่อทำลายน้ำหนักของพยาน หรือเพื่อให้พยานเบิกความในเรื่องที่เป็นประโยชน์กับเรานั้น ด้วยความที่พยานที่เราถามค้านเป็นพยานของฝ่ายตรงข้าม เขาก็มักจะคิดแต่จะเบิกความในเรื่องที่เป็นประโยชน์กับฝ่ายตรงข้าม
หากเขารู้ว่าคำตอบที่เขาจะตอบ จะเป็นประโยชน์กับฝ่ายเรา พยานส่วนใหญ่ก็จะพยายามหาวิธีการหลีกเลี่ยง เบิกความไปในทำนองอื่น เพื่อไม่ให้เกิดประโยชน์กับฝ่ายเรา
ดังนั้นในการถามค้าน ให้พยานยอมเบิกความในเรื่องที่เป็นประโยชน์กับเรา ทนายความที่มีประสบการณ์ จะรู้ว่าเราจะไม่ใช้คำถามตรงๆก่อน เราจะต้องใช้วิธีถามค้านจากเหตุไปหาผล ใช้คำถามที่ห่างประเด็นก่อน
เมื่อเราใช้คำถามที่ห่างประเด็น พยานจะยังไม่รู้ว่าจะมีผลดีผลเสียกับรูปคดีอย่างไร ดังนั้นพยานส่วนใหญ่ก็จึงมักจะตอบไปตามความเป็นจริง
นอกจากนี้หากเรามีข้อเท็จจริงใด ที่พยายามจะต้องเบิกความยอมรับโดยไม่อาจปฏิเสธได้อยู่แล้ว เช่นข้อเท็จจริงที่พยานเคยยอมรับไว้ในเรื่องอื่น ข้อเท็จจริงที่มีเอกสารหลักฐานของราชการยืนยันชัดเจน ข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับเอกสารหลักฐานที่พยานเป็นคนทำขึ้นเอง เราก็ควรถามค้านให้พยานเบิกความรับรองก่อน
เมื่อพยานเบิกความยอมรับในเรื่องที่ห่างจากประเด็น หรือเบิกความรับข้อเท็จจริงในเรื่องอื่นที่ไม่อาจปฏิเสธได้ หลายๆอย่างรวมกันหลายคำตอบแล้ว คำตอบดังกล่าวของพยานจะเป็นการผูกมัดพยานให้ตอบคำถามค้าน ในประเด็นข้อสำคัญในคดีตามที่เราต้องการ ไม่สามารถตอบเป็นอย่างอื่นได้
หรือหากพยานตอบคำถามค้าน เป็นอย่างอื่น ซึ่งขัดกับเหตุผลหรือคำตอบที่ตนเองตอบมาก่อนหน้านี้ ก็จะทำให้คำตอบของพยานไม่มีน้ำหนักน่าเชื่อถือ
ตัวอย่างเช่น เราเป็นทนายความจำเลย ต้องการค้านให้พยานโจทก์ตอบคำถามว่า วันเกิดเหตุพบเห็นจำเลยแปบเดียว จึงน่าจะไม่มีโอกาสจดจำตัวจำเลยได้
หากอยู่ๆเราไปตั้งคำถามตรงๆเลยว่า วันเกิดเหตุพยานเห็นจำเลยแป๊บเดียวจำเลยไม่ถนัดใช่หรือไม่ พยานก็อาจจะตอบคำถามว่า มีเวลาเห็นเป็นเวลานานเพียงพอทำให้จดจำได้
แต่หากเราถามด้วยการใช้เหตุไปหาผลดังต่อไปนี้ เช่น
- ก่อนเริ่มเกิดเหตุพยานนั่งเล่นมือถืออยู ใช่หรือไม่
- ขณะเหตุเริ่มไปแล้วพยานก็ยังเล่นเกมส์อยู่ ใช่หรือไม่
- พยานมาเห็นจำเลยเมื่อมีคนตะโกนเสียงดังใช่หรือไม่
- พยานหันไปเห็นจำเลยแว๊บเดียวแล้วก็รีบวิ่งหลบหนีใช่หรือไม่
- รวมระยะเวลาแล้วพยานเห็นจำเลยแค่แป๊บเดียวประมาณ 1-2 วินาทีนะครับ
จะเห็นได้ว่าเป็นการถามค้านจากเหตุไปหาผลให้พยานยอมรับในข้อสุดท้ายว่าพยานเห็นจำเลยแค่แป๊บเดียว ซึ่งจะเป็นประโยชน์กว่าการถามพยานตรงๆตั้งแต่ทีแรกว่าเห็นจำเลยแค่แป๊บเดียวใช่หรือไม่
หรือสุดท้ายถึงพยานจะเบิกความตอบว่าเห็นจำเลยเป็นเวลานานก็ไม่น่าเชื่อถือแล้วเพราะจากเหตุการณ์ทั้งหมดชี้ให้เห็นว่าพยานน่าจะเห็นจำเลยแค่แป๊บเดียว
เทคนิคนี้เป็นเทคนิคสุดคลาสสิค ซึ่งสามารถนำไปปรับใช้ได้อย่างหลากหลาย และเป็นเทคนิคพื้นฐานในการถามค้านที่ทนายความจะต้องรู้ครับ
3.ใช้คำถามนำเป็นหลัก
เนื่องจากพยานที่เราถามค้านนั้น จะเป็นพยานของฝ่ายตรงข้าม หากเราถามเป็นคำถามปลายเปิดให้พยานอธิบาย พยานก็มักจะอธิบายข้อความที่เป็นประโยชน์แก่ฝ่ายตัวเอง
ดังนั้นการถามค้านจึงนิยมใช้คำถามนำ หรือคำถามที่ให้เลือกตอบ โดยจะต้องใช้คำถามให้สั้นกระชับได้ใจความ และไม่ปล่อยให้พยานอธิบายข้อเท็จจริงตามความพอใจของพยาน เช่น
- ใช่/ไม่ใช่
- ถูกต้อง-ไม่ถูกต้อง
- จริง-ไม่จริง
เพื่อผูกมัดไม่ให้พยานตอบคำถามเป็นอย่างอื่นได้
ตัวอย่างเช่น
- พยานไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านการตรวจสอบลายมือชื่อใช่หรือไม่
- พยานสายตาสั้นกว่าคนปกติใช่หรือไม่
- วันเกิดเหตุพยานเห็นจำเลยแป๊บเดียวใช่หรือไม่
- พยานไม่เคยเห็นจำเลยมาก่อนใช่หรือไม่
- พยานอ่านข้อความในเอกสารก่อนเซ็นชื่อใช่หรือไม่
- พยายามเข้าใจข้อความในเอกสารก่อนเซ็นชื่อใช่หรือไม่
- พยานเป็นผู้จัดทำเอกสารดังกล่าวใช่หรือไม
- พยานเคยเห็นคลิปวีดีโอดังกล่าวใช่หรือไม่
- พยานอยู่ในคลิปวีดีโอดังกล่าวด้วยใช่หรือไม่
ทั้งนี้ในเวลาที่ท่านถามนำ แล้วเจอพยานตอบไม่ตรงคำถาม เช่น ในคดีปลอมเอกสารเราถามค้านพยานที่ยืนยันว่าเอกสารเป็นเอกสารปลอม
เราถามว่า “ พยานไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านการตรวจสอบลายมือชื่อใช่หรือไม่ “
พยานตอบว่า “แต่ลายมือชื่อในคดีนี้ดูแล้วมันปลอมมันไม่เหมือนแน่ๆ”
หรือตอบว่า “ผมคุ้นเคยกับลายมือชื่อนี้ ผมบอกได้ยืนยันได้ว่าปลอม”
เช่นนี้เขาเรียกว่าการตอบไม่ตรงคำถาม เราจะต้องบอกพยานอย่างสุภาพว่า พยานช่วยตอบคำถามที่ผมถามด้วยครับ /ค่ะ
หากพยานยังไม่ยอมตอบตอบบ่ายเบี่ยงไปอีกเราก็ต้องขอให้ศาลสั่งให้พยานตอบให้ตรงคำถาม ซึ่งเท่าที่ผมทำมาการที่เราต้องแย้งด้วยความสุภาพเช่นนี้ศาลก็มักจะสั่งบังคับให้พยานตอบให้ตรงคำถามเสมอ
หากเราปล่อยให้พยานตอบไม่ตรงคำถามไปเรื่อยๆ นอกจากจะไม่ได้เกิดประโยชน์จากการถามค้านแล้วยังจะทำให้การถามค้านเสียเวลายืดยาวไปโดยใช่เหตุ
ทั้งนี้ไม่ใช่หลักเกณฑ์ตายตัวว่าการถามค้านจะต้องใช้คำถามนำตลอดไป เพียงแต่ส่วนใหญ่แล้ว การถามค้านการใช้คำถามนำ จะเป็นประโยชน์มากกว่า กระชับกว่า ได้คำตอบที่ต้องการได้ง่ายกว่า
แต่หากมีเหตุผลพิเศษที่ต้องการถามเพื่อให้พยานอธิบายในเรื่องรายละเอียดอื่นๆ อันอาจจะเกิดประโยชน์แก่ฝ่ายเรา เช่นต้องการถามค้านให้พยานอธิบายรายละเอียดในเรื่องที่พยานอาจจะรู้ไม่จริง เพื่อจับเท็จพยานก็สามารถถามได้ หรือต้องการให้พยานอธิบายถึงข้อเท็จจริงที่จะเป็นประโยชน์แก่ฝ่ายเราแต่เพียงอย่างเดียวก็สามารถใช้คำถามปลายเปิดให้พยานอธิบายได้
ดังนั้นจำหลักไว้ว่า โดยหลักแล้วควรต้องใช้คำถามนำ จะได้ประโยชน์มากกว่า แต่ไม่ใช่หลักตายตัวหรือเด็ดขาดหามีเหตุผลพิเศษก็สามารถใช้คำถามปลายเปิดได้เช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ตามท่านอาจารย์มารุต บุนนาค เคยสอนไว้ว่าในการถามค้าน ไม่ควรจะใช้คำถามว่า “ทำไม” เพราะคำถามว่าทำไม เป็นคำถามปลายเปิดประเภทให้พยานอธิบายเหตุผลเข้าข้างตนเอง
ตัวอย่างเช่น
- คดีพยายามฆ่าเราเป็นทนายความจำเลย ถามพยานฝั่งโจทก์ จนกระทั่งข้อเท็จจริง ฟังได้ว่าพยานไม่น่าจะจดจำตัวจำเลยได้จริง และเราไปถามเพิ่มเติมว่า
- พยานเห็นหน้าจำเลยแป๊บเดียว ทั้งจำเลยก็ใส่หมวกแก๊ปใส่แว่นตาดำ ทำไมถึงจำเลยได้
- พยานก็จะตอบว่า ผมรู้จักจำเลยมานานมากแล้ว จำเลยมีลักษณะพิเศษคือ เจาะหูระเบิดหูเป็นขนาดใหญ่ ข้าพเจ้าจึงจำเลยได้ชัดเจนแน่นอน
จะเห็นได้ว่าคำถามว่า ทำไม จะเป็นคำถามเพื่อให้พยานอธิบายข้อเท็จจริงในส่วนที่เป็นประโยชน์ของตนเองแต่เพียงฝ่ายเดียว บางครั้งอาจจะเป็นความจริงหรือไม่เป็นความจริงก็ได้ จึงไม่ควรถามค้านพยานด้วยคำว่า “ทำไม”
4.ใช้ถ้อยคำที่สุภาพ และใช้น้ำเสียงที่นุ่มนวลไม่แสดงความเป็นปฏิปักษ์
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญมาก และทนายความหลายคนก็มักจะผิดพลาด เข้าใจผิด และปฏิบัติจนอย่างผิดๆ ทำให้ส่งผลเสียทั้งกับตนเอง และภาพรวมของวิชาชีพทนายความ รวมทั้งทำให้ไม่เกิดประโยชน์ในการดำเนินคดี
คนธรรมดาที่ไม่ใช่นักกฎหมาย และทนายความหลายคนมักเข้าใจผิดว่า ทนายความที่สามารถถามค้านพยานด้วยเสียงอันดัง ดูถูกดูหมิ่นพยาน การขู่ตะคอกพยาน คือทนายความที่เก่ง มีความสามารถในการถามค้าน
แต่ความจริงแล้ว ทนายความที่ถามพยานในลักษณะดังกล่าวข้างต้น คือทนายความที่ไม่ได้ความ และการถามในลักษณะดังกล่าว มักไม่ก่อให้เกิดประโยชน์แห่งคดีอันใด นอกจากความสะใจหรือความคิดว่าตนเองเก่งแบบหลอกตนเองเท่านั้น
เพราะหากคุณถามด้วยท่าทีอันเป็นปฏิปักษ์ ด้วยถ้อยคำเสียดสี การขู่ตะคอก พยานก็มักจะมีความรู้สึกต่อต้าน ไม่ตอบข้อความมันเป็นประโยชน์กับคุณ และพยายามหาทางตอบเป็นผลร้ายกับคุณอยู่เสมอ ซึ่งเป็นหลักเกณฑ์ตามธรรมชาติ
แต่ในทางกลับกัน หากคุณถามพยานด้วยความสุภาพ นุ่มนวล ด้วยถ้อยคำน้ำเสียงที่เป็นเป็นมิตร ใช้กิริยาท่าทางแบบปกติเหมือนคำถามที่ไม่ได้มีอะไร โอกาสที่พยานจะเบิกความเป็นประโยชน์กับคุณ หรือเบิกความคล้อยตามไปตามคำถามของคุณ ก็จะมีโอกาสสูงมาก เพราะเขาคิดว่าคำตอบที่ตอบไปไม่ได้เป็นโทษอะไรกับตัวเขาเอง หรือคู่ความฝ่ายของเขา
คำถามแบบเดียวกัน หากถามด้วยน้ำเสียงที่แข็งกร้าว กิริยาท่าทางที่ดุดัน อาจจะได้คำตอบแบบนึง แต่หากถามด้วยท่าทีสบายๆ น้ำเสียงสุภาพ ก็อาจจะได้คำตอบอีกแบบหนึ่ง ซึ่งธรรมดาแล้วการถามแบบสุภาพจะได้รับคำตอบที่ดีกว่าเสมอ เพราะพยานจะไม่มีความรู้สึกต่อต้าน และมักจะไม่รู้ว่าคำตอบที่จะตอบนั้นอาจส่งผลกระทบหรือผลเสียต่อรูปคดีของตนเอง
ดังนั้นจำไว้ว่า การถามพยานด้วยน้ำเสียงดังๆ ข่มขู่พยาน หรือตะคอกใส่พยาน ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรกับรูปคดีเลย แต่กลับจะทำให้ศาลตำหนิติติงท่านและเห็นใจพยานมากกว่า การถามพยานด้วยถ้อยคำสุภาพ กิริยาท่าทางแบบมีมารยาทจะเกิดประโยชน์ในการทำงานมากที่สุดครับ
5.และไม่แสดงอาการยินดียินร้ายบนใบหน้า
ในการถามพยานนั้น ทนายความจะต้องจำไว้ว่า ต้องรักษากิริยาอาการให้นิ่งสุขุม ไม่แสดงอาการยินดียินร้ายให้ปรากฏในใบหน้าและท่าทาง ตลอดระยะเวลาการถามค้าน
ทั้งนี้เพราะถ้าหากท่านแสดงความดีใจอย่างออกนอกหน้า หรือแสดงการเยาะเย้ยพยานฝ่ายตรงข้าม เมื่อพยานฝ่ายตรงข้ามเบิกความเป็นที่เสียหายแก่รูปคดี ก็เท่ากับท่านได้บอกให้พยานและทนายฝ่ายตรงข้าม รู้ว่าตนเองเบิกความผิดพลาดในช่วงตอนไหน ซึ่งพยานฝ่ายตรงข้ามก็จะพยายามหาทางอธิบายแก้ หรือทนายความฝ่ายตรงข้ามก็จะพยายามถามติง เพื่อแก้ไขในประเด็นดังกล่าวให้หนักหน่วง
ในทางกลับกันหากท่านไม่แสดงความดีใจ วางท่าทีเฉยๆเสีย บางทีพยานอาจจะไม่ได้รู้ตัวว่าตนเองต่อผิดพลาดไปแล้ว หรือทนายความฝ่ายตรงข้ามอาจจะไม่รู้ว่าพยานตอบผิดพลาดในประเด็นนี้และไม่ได้ถามติงในประเด็นนี้
หรือถ้าหากท่านแสดงความใจเสียหรือตกใจให้เป็นที่ปรากฏชัดเจน ในขณะที่ถามค้านพยานและพยานตอบคำถามค้านในส่วนที่เป็นผลร้ายกับรูปคดี ก็เท่ากับท่านบอกพยานและทนายความฝั่งตรงข้ามว่า จุดอ่อนของท่านคือตรงนี้ ซึ่งพยานก็จะพยานก็จะพยายามเบิกความย้ำในประเด็นเรื่องนี้ รวมทั้งฝ่ายตรงข้ามก็พยายามถามติงให้พยานเบิกความเพิ่มเติมในประเด็นนี้
ในทางกลับกันหากท่านแสดงท่าทีวางเฉย ไม่แสดงอาการยินดียินร้าย ในขณะที่พยานเบิกความเป็นที่เสียหายแก่รูปคดีของท่าน พยานก็อาจจะไม่ได้เบิกความขยายความต่อในประเด็นนี้ ให้เกิดความเสียหายเพิ่มเติมขึ้นมาอีก
ดังนั้นแล้ววิธีการที่ถูกต้องในการวางตัวขณะถามค้านพยาน ท่านจะต้องทำตัวเหมือนคนเล่น ไพ่ poker ไพ่เผ หรือเก้าเก ที่จะต้องอุบไต๋ รักษาอาการไม่แสดงอาการยินดียินร้าย ไม่ว่าสถานการณ์หรือไพ่ในมือจะเป็นอย่างไร
และจำไว้ว่าในการถามค้านพยาน วัตถุประสงค์ของเราเพื่อให้เกิดประโยชน์แก่รูปคดี และเพื่อให้เกิดผลสุดท้ายคือเราชนะคดี เราไม่ได้ถามค้านพยานเพื่อโชว์หรือแสดงความสามารถให้ลูกความหรือบุคคลอื่นเห็นแต่อย่างใด
6.เทคนิคเฉพาะในการถามค้านให้พยานเบิกความขัดแย้งกับพยานวัตถุและพยานเอกสาร
ในการถามค้านพยานเพื่อให้พยานเบิกความขัดแย้งกับพยานวัตถุ หรือพยานเอกสาร เช่นคำเบิกความที่พยานเคยเบิกความในคดีอื่น หรือคำให้การที่พยานเคยให้ไว้ในคดีอื่น เอกสารที่เคยจัดทำกันไว้ หรือเอกสารที่พยานเคยเป็นคนทำ คลิปเสียง คลิปวีดีโอ หรือหลักฐานอื่นที่ไม่สามารถปฏิเสธได้
หากเรามีเจตนาที่จะถามค้านพยาน เพื่อให้พยานเบิกความขัดแย้งไม่ตรงกันกับเอกสารหรือพยานวัตถุดังกล่าว เราจะต้องห้ามไม่ให้พยานเห็นเอกสารหลักฐานนั้นก่อนเด็ดขาด หรือถ้าจะให้ดีต้องอย่าให้พยานรู้ว่า เราจะเอาเอกสารหลักฐานนั้นมาใช้ในการถามค้าน
เพราะหากเรานำเอกสารหลักฐานนั้นไปใช้จ่ายการถามค้านก่อน และพยานเห็นเอกสารหลักฐานดังกล่าวแล้ว ในการตอบคำถามค้านคำต่อๆไป พยานจะเบิกความให้สอดคล้องไปกับเอกสารหลักฐานนั้น ซึ่งก็จะไม่เกิดประโยชน์อันใด
ดังนั้นวิธีการที่ถูกต้องในการถามค้านพยานเพื่อให้เบิกความขัดแย้งกับพยานเอกสารหรือพยานวัตถุ ท่านจะต้องถามถึงเนื้อหาต่างๆให้พยานเบิกความไปก่อน โดยจะต้องพยายามใช้คำถามนำ ให้พยานเบิกความขัดแย้งกับข้อความหรือเนื้อหาในพยานเอกสารหรือพยานวัตถุ
แล้วหลังจากนั้นท่านจึงค่อยเอาพยานเอกสารหรือพยานวัตถุ มาถามค้านปิดท้ายเพื่อให้พยานเบิกความรับรอง ด้วยวิธีนี้จะทำให้ศาลเห็นอย่างชัดเจนว่า พยานปากนี้เป็นพยานเบิกความเท็จขัดแย้งกับพยานเอกสารหรือพยานวัตถุ
ตัวอย่างเช่น เรามีคลิปวีดีโออยู่ 1 ตัว ที่แสดงให้เห็นว่าขณะเกิดเหตุพยานไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุเลย เช่นนี้ ในการถามค้านเราควรจะใช้วิธีถามค้านพยานดังนี้
- พยานอยู่ในที่เกิดเหตุนะครับ
- พยานนั่งอยู่บริเวณเก้าอี้ข้างนาย ก. นะครับ
- พยานนั่งอยู่ตรงนั้นตลอดเวลาไม่ได้เดินไปไหนเลยนะคับ
- ตรงบริเวณดังกล่าวเห็นเหตุการณ์ชัดเจนนะครับ
ซึ่งถ้าหากพยานตอบว่าใช่ในทุกคำถาม หลังจากนั้นเราจึงค่อยนำคลิปวีดีโอมาเปิดให้พยายามดูให้เบิกความรับรองว่า เป็นเหตุการณ์ขณะเกิดเหตุ แต่ไม่ปรากฏว่าพยานนั่งอยู่ข้างๆ นาย ก. เลย และบริเวณที่นายก.นั่งอยู่ก็จะไม่เห็นเหตุการณ์ชัดเจน
ถ้าหากเรานำคลิปวีดีโอไปเปิดให้พยานดูก่อน พยานก็อาจจะเบิกความบ่ายเบี่ยงว่าตนเองอยู่ในมุมอื่นที่ไม่ปรากฏในกล้อง หรือเบิกความบ่ายเบี่ยงไปเป็นอย่างอื่นได้โดยง่าย
ดังนั้นจำไว้ว่าในการถามค้านพยานเพื่อให้พยานเบิกความขัดแย้งกับพยานเอกสารหรือพยานวัตถุ เราจะต้องถามรายละเอียดของพยานให้ชัดเจนครบทุกด้านก่อนแล้วจึงค่อยนำเอกสารหรือพยานวัตถุนั้นให้พยานดู
7.เทคนิคเฉพาะในการถามค้านพยานคู่
ในกรณีที่เราต้องการถามค้านพยานคู่ คือพยานที่รู้เห็นเหตุการณ์เดียวกัน แล้วได้มาเบิกความในคราวเดียวกัน มีเทคนิคที่เราจะต้องรู้หลายอย่างดังนี้
อย่างแรก เราจะต้องถามค้านพยานปากแรกไว้ให้ละเอียด ตั้งแต่เรื่องก่อนเกิดเหตุ ขณะเกิดเหตุ หลังเกิดเหตุ รวมทั้งบุคคล วัตถุ สิ่งของ ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ทั้งหมดเพื่อให้พยานปากแรกเบิกความไว้อย่างละเอียด
หลังจากนั้นเมื่อพยานปากที่ 2 หรือพยานปากอื่นๆที่อ้างว่ารู้เห็นเหตุการณ์ในคราวเดียวกันมาเบิกความ เราก็จะใช้วิธีการถามรายละเอียดแบบเดิมโดยใช้คำถามชุดเดิม
หาพยานผู้รู้เห็นเหตุการณ์ด้วยกันจริง อยู่ในเหตุการณ์และพบเห็นเหตุการณ์ด้วยกันก็จะเบิกความในสาระสำคัญสอดคล้องต้องกัน
แต่ในทางกลับกัน หาพยานคู่เป็นพยานเท็จหรือไม่ได้รู้เห็นเหตุการณ์เดียวกันทั้งหมด แต่มารับสมอ้างอ้างว่ารู้เห็นเหตุการณ์ เช่นนี้พยานก็จะเบิกความขัดแย้งกันในข้อสาระสำคัญเกือบทั้งหมด
โดยท่านอาจารย์หลวงสัตยุทธชำนาญ ได้กล่าวไว้ในหนังสือวิชาข้อเท็จจริง ซึ่งเป็นตำราอันทรงคุณค่าสำหรับทนายความในการถามค้านว่า
การที่บุคคลใดจะอ้างว่ารู้เห็นเหตุการณ์ใดเป็นเรื่องง่าย แต่การที่จะให้เหตุผลสอดคล้องต้องกันเหมือนกันทั้งหมดเป็นเรื่องยาก
ตัวอย่างเช่น
การที่นายตำรวจ 2 คนจะมาเบิกความว่า ได้จับกุมจำเลยซึ่งเป็นคนร้ายพร้อมกับยาเสพติดได้นั้น หากนายตำรวจ 2 คนนี้ได้จับกุมจำเลย พร้อมยาเสพติดได้จริงเมื่อมาเบิกความที่ศาล ทั้งสองคนย่อมจะเบิกความถึงรายละเอียดต่างๆในสาระสำคัญได้สอดคล้องต้องกัน
เช่น สาเหตุที่เข้าไปจับกุม เหตุการณ์ขณะจับกุม เหตุการณ์หลังจับกุม บุคคล วัตถุ และเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการจับกุมทั้งหมด
แต่ถ้าหากตำรวจ 2 คนนี้ไม่ได้เข้าไปจับกุมคนร้ายจริง เพียงแต่ลงชื่อในบันทึกจับกุม หรือเป็นการยัดยาเสพติดให้กับคนร้ายและเตี๊ยมกันมาเบิกความ
เช่นนี้หากทนายความรู้จักใช้คำถามสอบถามรายละเอียดพยาน 2 ปากนี้อย่างถูกต้อง พยานทั้งสองฝ่ายจะต้องเบิกความขัดแย้งกันในสาระสำคัญอย่างแน่นอน
ทั้งนี้การขัดแย้งกันของพยานคู่ที่จะทำให้ศาลไม่รับฟังหรือพยานคู่ไม่น่าเชื่อถือนั้น จะต้องเป็นการขัดแย้งกันในข้อสาระสำคัญ ไม่ใช่แต่เพียงพลความ
ซึ่งในประเด็นนี้ผมเคยได้เขียนบทความเลยแล้วสามารถติดตามอ่านได้ใน บทความเรีื่อง “หลักการรับฟังพยานบุคคลเมื่อพยานคู่เบิกความขัดแย้งกัน”
8.รู้จักหยุดเมื่อควรจะต้องหยุด
การถามค้าน เมื่อพยานเบิกความตอบคำถามค้านจนได้ประโยชน์จากพยานแล้ว เมื่อถึงจุดจุดหนึ่งควรจะหยุดไม่ควรถามต่อไป เพราะหากท่านป้อน ต่อเนื่องไปเรื่อยๆจากที่ได้ประโยชน์อาจจะกลายเป็นเสียประโยชน์ก็ได้
เพราะการถามค้านพยานให้ได้ประโยชน์นั้น จะต้องไม่ให้พยานรู้ว่าคำตอบที่ตนเองตอบนั้น เป็นผลเสียกับรูปคดีของฝ่ายตนเอง เพราะว่าธรรมดาพยานฝั่งใดก็มักจะเบิกความเพื่อให้เกิดประโยชน์กับคู่ความฝั่งของตนเอง
ธรรมดาแล้วการที่เราซึ่งเป็นทนายความฝั่งตรงข้ามจะถามค้านเขานั้น จะถามพยานได้คำตอบที่เป็นประโยชน์กับรูปคดีของเรา ก็จะต้องระวังไม่ให้เขารู้ว่าคำตอบที่เขาจะตอบนั้นจะเกิดผลเสียกับฝ่ายของเขาหรือเป็นผลดีกับฝ่ายเรา
คำถามที่พยานจะสะดวกใจที่จะตอบมากที่สุด ให้คำตอบได้ง่ายที่สุด ก็คือคำถามที่พยานไม่รู้ว่าจะเป็นโทษแก่ฝ่ายเขาเอง หรือคำถามที่จะเป็นประโยชน์กับฝ่ายเรา
ดังนั้นแล้วเมื่อเราถามค้านพยานไปจนได้ประโยชน์จากพยาน เพราะพยานตอบโดยที่ไม่รู้ว่าคำถามนั้นเป็นโทษกับฝ่ายตัวเองหรือเป็นประโยชน์กับฝ่ายเราแล้ว เราจะต้องคอยชั่งใจอยู่เสมอว่าควรจะหยุดเมื่อไหร่
เพราะหากเราไม่หยุดและถามในประเด็นนั้นต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งสุดท้ายพยานรู้ตัวว่าคำตอบที่ตนเองต่อไปทั้งหมดนั้นเป็นโทษกับฝ่ายตัวเอง หรือเป็นคุณกับฝ่ายตรงข้าม พยานก็มักจะเบิกความอธิบายหรือเบิกความเอาเสียใหม่ เพื่อให้เป็นโทษกับฝ่ายเราหรือเป็นคุณกับฝ่ายตัวเอง
ตัวอย่างเช่น คดีฆาตกรรม เรากำลังถามประจักษ์พยานโจทก์ปากเอกเพื่อให้เห็นว่าไม่สามารถจดจำตัวจำเลยได้
เราถามว่า
- พยานไม่เคยพบจำเลยมาก่อนใช่หรือไม่ พยานตอบว่าใช่
- ขณะเกิดเหตุพยานมีอาการมึนเมาใช่หรือไม่ พยานตอบว่าใช่
- เหตุการณ์เกิดขึ้นเร็วมากเลยใช่หรือไม่ พยานตอบว่าใช่
- แสงไฟในที่เกิดเหตุค่อนข้างจะสลัวสลัวใช่หรือไม่ พยานตอบว่าใช่
- จำเลยใส่แว่นดำปิดบังหน้าอยู่ใช่หรือไม่ พยานตอบว่าใช่
เท่านี้จะถือว่าพยานเบิกความเป็นประโยชน์กับเรามากอยู่แล้ว หากเรายังไม่พอยังถามครั้งต่อไปในคำถามที่ว่า
“สรุปแล้ววันเกิดเหตุพยานก็จำตัวจำเลยไม่ได้ใช่หรือไม่”
เช่นนี้พยานอาจจะเบิกความอธิบายไปเลยว่า ” จำได้ครับ เพราะก่อนเกิดเหตุถึงแม้ว่าจะไม่ได้พบกับจำเลยมาก่อน แต่ในวันเกิดเหตุก็นั่งดื่มเหล้าอยู่ด้วยกัน ตั้งหลายชั่วโมง ตั้งแต่แสงไฟยังสว่าง และขณะนั้นจำเลยก็ถอดแว่นมองเห็นหน้าถนัดชัดเจน”
เช่นนี้ก็จะเห็นได้ว่าคำเบิกความตอบคำถามค้านที่ท่านพยายามถามมาทั้งหมดเป็นอันหมดประโยชน์ ใช้อะไรไม่ได้เลย แล้วจะเป็นโทษแก่รูปคดีของท่านด้วย
ดังนั้นจงจำไว้ว่า ในการถามค้านพยาน จะต้องระมัดระวังไม่ให้พยานรู้เจตนาของคำถามของเราว่าเจตนาที่เราต้องการถามนั้นเพื่ออะไร แล้วเมื่อได้คำตอบที่เป็นประโยชน์กับรูปคดีแล้ว จะต้องรู้จักพอรู้จักหยุดเมื่อถึงจังหวะควรจะต้องหยุด
9.การถามค้าน เพื่อประโยชน์ในการใช้สิทธินำสืบต่อไป
ในกรณีที่เราเป็นฝ่ายที่จะต้องสืบพยานทีหลัง มีเทคนิคที่เราจะต้องรู้ไว้ก็คือ เราจะต้องถามค้านพยานฝ่ายตรงข้าม ถึงข้อเท็จจริงที่เราต้องการนำสืบ และอยู่ในความรู้เห็นของพยานฝ่ายนั้น เพื่อให้พยานได้เบิกความอธิบายก่อนที่เราจะนำสืบ
หากเราไม่ถามค้านพยานฝ่ายตรงข้ามถึงข้อเท็จจริงดังกล่าวไว้ แต่เรากลับมานำสืบเองในภายหลังโดยไม่ให้โอกาสพยานฝ่ายตรงข้ามได้อธิบายในประเด็นดังกล่าว การนำสืบของเราจะไม่มีน้ำหนักน่ารับฟัง เพราะเท่ากับว่าเราจะเป็นการเล่าความดังกล่าวแต่เพียงฝ่ายเดียว โดยไม่เปิดโอกาสให้พยานฝ่ายตรงข้ามได้อธิบาย
ตัวอย่างเช่น คดีเกี่ยวกับเรื่องลักทรัพย์นายจ้าง
โจทก์ได้นำพยานโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยมาเบิกความเป็นพยาน
ซึ่งทนายความจำเลย เมื่อซักถามพยานโจทก์ปากเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ไม่ได้ซักค้านในประเด็นว่า ตามระเบียบข้อบังคับและแนวทางปฏิบัติ หลัง 20:00 น ประตูทั้งหมดจะล็อค พนักงานคนอื่นจะไม่สามารถเข้าออกที่บริษัทได้
ต่อมาทนายความจำเลย ได้นำพยานของตนเองเข้านำสืบถึงระเบียบข้อบังคับดังกล่าว เช่นนี้น้ำหนักในการรับฟังพยานหลักฐานย่อมลดลง เพราะทนายความจำเลยไม่ได้ถามค้านเพื่อให้พยานฝั่งโจทก์อธิบายถึงข้อเท็จจริงดังกล่าวด้วย
แต่ในทางกลับกัน หากทนายความจำเลยได้ถามพยานโจทก์ปากเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ว่าในขณะเกิดเหตุ เป็นเวลาหลัง 2 ทุ่มแล้วประตูทั้งหมดจะล็อคพนักงานคนอื่นไม่สามารถเข้าออกที่บริษัทได้ใช่หรือไม่
หากพยานตอบว่าใช่ ก็จะเป็นประโยชน์แก่รูปคดีของฝั่งจำเลยและข้อนำสืบของจำเลยในภายหลัง
แต่ถึงพยายามจะตอบว่าไม่ใช่และอธิบายเป็นอย่างอื่น ก็ถือว่าทนายความจำเลยได้เปิดโอกาสให้พยานฝั่งโจทก์ได้ชี้แจงข้อเท็จจริงจากฝั่งของเขาแล้ว เป็นหน้าที่ของศาลที่จะชั่งน้ำหนักว่าจะเชื่อพยานฝั่งไหน
แต่หากทนายความจำเลยไม่ถามค้านในประเด็นดังกล่าวเพื่อให้พยานได้อธิบายไว้และนำสืบเองคนเดียวภายหลัง ก็จะเป็นการไม่มีน้ำหนักน่าเชื่อถือ
นอกจากนี้ หากในเหตุการณ์ใดเราจะนำพยานบุคคลซึ่งอยู่ในเหตุการณ์เดียวกับพยานโจทก์นำสืบ เราก็ต้องถามให้พยานโจทก์ยอมรับด้วยว่า วันเกิดเหตุพยานที่เราจะนำมาสืบมันอยู่ในเหตุการณ์ด้วย
10.ใช้คำถามตามลักษณะของพยาน
การถามค้าน เราควรจะเลือกใช้คำถามที่เหมาะสมกับลักษณะของพยานแต่ละประเภท เพื่อที่จะเลือกใช้คำถามและวิธีการถามได้อย่างถูกต้อง
การที่จะรู้ว่าพยานคนไหนเป็นพยานประเภทไหนนั้น ขึ้นอยู่กับการเตรียมคดีมาตั้งแต่ต้น ส่วนหนึ่ง และการนั่งฟังคำเบิกความของพยานในตอนที่พยานถูกซักถามโดยทนายความฝั่งที่อ้างมา อีกส่วนหนึ่ง
หากเราเตรียมคดีมาดี และตั้งใจฟังคำถามคำตอบของพยานฝ่ายตรงข้าม เราจะรู้ทันทีว่าพยานดังกล่าวเป็นพยานประเภทไหน เช่น พยานเท็จ พยานที่ยังเบิกความไม่หมด พยานที่เบิกความเข้าใจผิด เป็นต้น
ซึ่งเมื่อเรารู้แล้วว่าเป็นพยานแบบไหน เราก็จะต้องเลือกใช้คำถามให้ถูกต้องกับพยานประเภทนั้น
พยานที่เป็นพยานเท็จ เราก็ต้องใช้วิธีเบิกความถามค้านเพื่อจับเท็จพยาน เพื่อให้พยานเบิกความขัดแย้งกับ พยานบุคคล พยานวัตถุ พยานเอกสาร
พยานที่เป็นพยานเบิกความจริง เพียงแต่ยังเบิกความไม่หมด เราก็ต้องใช้วิธีถามค้านเพื่อให้พยานเบิกความเล่าข้อเท็จจริงส่วนที่เป็นประโยชน์กับเราเพิ่มเติมขึ้นมา
พยานที่ไม่ได้ตั้งใจเป็นพยานเท็จ แต่เบิกความไปด้วยความเข้าใจผิด เราก็ต้องใช้วิธีถามค้าน เพื่อให้เห็นว่ายังมีความเป็นไปได้อย่างอื่นนอกเหนือจากที่พยานเข้าใจ หรือมีปัจจัยอื่นที่ทำให้เห็นว่าพยานน่าจะเข้าใจผิด
พยานที่เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุม พวกนี้เป็นพยานอาชีพที่มีความจัดเจนในการตอบคำถามค้าน การถามค้านให้แตก หรือเบิกความขัดแย้งกันไม่ใช่เรื่องง่าย จะต้องใช้ความพยายามในการจับเท็จมากกว่าพยานปกติ ต้องซักถามให้ละเอียด
พยานที่เป็นชาวบ้านไม่มีความรู้ มีความตื่นกลัวศาล เราต้องค่อยๆถาม ใช้คำถามแบบสั้นๆง่ายๆ คอยปลอบให้พยานให้การไปตามความจริง
พยานที่เป็นผู้เชี่ยวชาญ ก็ต้องถามค้านถึงความรู้ความสามารถ เหตุผลทางวิชาการ ตำราที่อ้างอิงและความเป็นไปได้อย่างอื่น
11.ทดสอบความรู้เห็นของพยานด้วยการตั้งคำถามแบบไม่เรียงลำดับ
ธรรมดาแล้วในเวลาที่เราซักถามพยานฝ่ายของเราเอง เราควรจะตั้งคำถามให้เป็นไปตามลำดับเหตุการณ์เพื่อให้พยานสามารถเรียบเรียงข้อเท็จจริงและเล่าเรื่องราวได้โดยสะดวก
ในการถามค้านพยาน ธรรมดาแล้วเราก็จะไล่ซักไปตามประเด็นข้อเท็จจริงในแต่ละเรื่องตามที่เราตั้งรูปคดีเข้ามา แต่เราไม่จำเป็นต้องถามค้านตามลำดับแต่อย่างใด
เราอาจจะสำคัญสลับลำดับกัน เพื่อจับเท็จ หรือเพื่อดูว่าพยานเบิกความไปตามความเป็นจริงหรือไม่ก็ได้
ทั้งนี้เพราะพยานที่เป็นพยานเท็จนั้น มักจะถูกซักซ้อมมาให้เบิกความตามลำดับเหตุการณ์ โดยที่ตนเองไม่ได้รู้เห็นเหตุการณ์นั้นจริงๆ เมื่อตนเองได้ถูกถามค้านโดยไม่ได้ไล่เรียงตามลำดับเหตุการณ์ ก็มักจะเบิกความผิดพลาดหรือสับสน เพราะตนเองไม่ได้รู้เห็นเหตุการณ์จริง
ตัวอย่างเช่น เราอาจจะถามถึงเหตุการณ์ขณะเกิดเหตุก่อน แล้วค่อยไปถามถึงเหตุการณ์ก่อนเกิดเหตุ หรือเราอาจจะถามถึงเหตุการณ์ภายหลังเกิดเหตุก่อน แล้วค่อยไปถามถึงเหตุการณ์ขณะเกิดเหตุ
เช่นนี้หากพยานที่เบิกความไปตามความเป็นจริง ไม่ว่าเราจะสลับคำถามอย่างไร พยานก็จะเบิกความตอบคำถามได้อย่างถูกต้อง เพราะตนเองรู้เห็นเหตุการณ์นั้นจริง แต่หากพยาน ไม่ได้รู้เห็นเหตุการณ์ดังกล่าวจริง พยานก็มักจะตอบผิดพลาดหรือขัดแย้ง
อย่างไรก็ตามในขณะที่เราใช้เทคนิคนี้ เราเองก็ต้องห้ามสับสนหรือหลงลืมประเด็น เพราะหากเราใช้เทคนิคนี้แล้วปรากฏว่าเราลืมกลับมาถามเหตุการณ์ในตอนต้น ก็จะทำให้เราตกหล่นประเด็นในตอนต้นไป สำหรับเทคนิคนี้ไม่ได้เป็นเทคนิคที่ผมได้ใช้บ่อยนะเพราะผมไม่ค่อยถนัดถามค้านด้วยวิธีนี้ครับ
12.สุขุมเยือกเย็น รู้จักแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า เมื่อเมื่อผู้พิพากษาไม่เป็นใจ หรือเจอพยานยียวน
สำหรับเทคนิคข้อสุดท้าย ที่ผมจะฝากไว้ก็คือ ระหว่างถามค้าน ท่านจะต้องสุขุมเยือกเย็น ไม่มีอารมณ์โกรธเข้ามาเกี่ยวข้อง
เพราะธรรมดาแล้วเวลาเราถามค้านพยาน หลายครั้งเราจะเห็นอยู่ชัดเจนว่าพยานโกหก หรือพูดเท็จจนน่าโมโห หรือพยานพยายามยียวน ตอบไม่ตรงคำถามของเรา แกล้งย้อนถามเรากลับ หรือตอบแบบหาเรื่องเรา
จำไว้ว่าเราไม่ควรไปมีอารมณ์โต้ตอบกับพยาน เพราะการที่เราไปใส่อารมณ์โมโห หรือมีอารมณ์โกรธขึ้นจะทำให้การทำงานเกิดโอกาสผิดพลาดได้มาก แล้วทำให้ถูกศาลมองในภาพที่ไม่ดี
หากเราเจอพยานที่ยียวน หรือตอบไม่ตรงคำถาม เราจะต้องบอกกับพยานด้วยความสุภาพว่า ขอให้พยายามช่วยตอบให้ตรงคำถามด้วยครับ และหาพยานยังไม่ยอมตอบอีก ก็ขอให้ศาลกำชับพยาน
การที่พยานแสดงอาการพยศเช่นนี้บ่อยๆ จะทำให้ศาลมองพยานในแง่ที่ไม่ดี และหากเราไม่ไปทะเลาะโต้เถียงกับพยาน แก้ปัญหาอย่างสุภาพชนด้วยวิธีการตามกฎหมายก็จะทำให้ศาลมองเราในแง่ที่ดี
และหากเราจะต้องเจอกับผู้พิพากษาที่ไม่เป็นใจ ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดๆ เช่น
ผู้พิพากษาที่ไม่ยอมจดบันทึกคำตอบพยานเมื่อเราถามค้าน
ผู้พิพากษาที่คอยขัดหรือคอยห้าม เมื่อเราถามพยานโดยอ้างว่าไม่เกี่ยวกับประเด็นในคดี ทั้งๆที่เป็นคำถามที่เกี่ยวข้องในประเด็นหรือเป็นคำถามนำที่จะใช้ต้อนพยาน
หากเราจะต้องเจอกับสถานการณ์ที่ผู้พิพากษาไม่เป็นใจในการถามค้านพยานเช่นนี้ เราก็ไม่ควรมีอารมณ์โกรธหรือไปโต้เถียงกับศาล แต่ควรจะพูดคุยกับท่านผู้พิพากษาด้วยความเคารพ และพยายามชี้แจงประเด็นให้ท่านทราบ เช่น
ขออนุญาตอธิบายท่านด้วยความสุภาพว่าคำถาม-คำตอบ ที่ท่านไม่จด นั้นมีความสำคัญหรือมีประเด็นเกี่ยวเนื่องในคดีอย่างไร และขออนุญาตให้ท่านช่วยบันทึกคำถามหรือคำตอบนั้นไว้ โดยขอยืนยันว่าทนายความเป็นคนขอให้บันทึกไว้เอง
ทั้งนี้สาเหตุที่ผู้พิพากษาไม่จดคำตอบ หรือไม่อนุญาตให้เราใช้คำถาม มักจะมีสาเหตุเนื่องจากท่านผู้พิพากษานั้น ไม่ทราบว่าคำถามหรือคำตอบของเรามีความสำคัญหรือเกี่ยวเนื่องกับคดีอย่างไร เนื่องจากผู้พิพากษานั้นไม่ได้ลงมาสอบข้อเท็จจริงหรือตรวจสอบพยานหลักฐานตั้งแต่ต้นเหมือนกับทนายความ จึงยังอาจไม่เข้าใจเรื่องราวข้อเท็จจริงในคดีทั้งหมด
ซึ่งถ้าหากท่านทำตามข้อแนะนำของผมตั้งแต่ต้น ด้วยการตั้งประเด็นในการถามค้านอย่างมีวัตถุประสงค์ตั้งแต่แรก และรู้ดีว่าคำถามค้านแต่ละคำถามของตนเองนั้นมีวัตถุประสงค์อย่างไรมีความสำคัญเกี่ยวเนื่องกับคดีอย่างไร ท่านย่อมสามารถอธิบายศาลได้โดยชัดเจน
และจากประสบการณ์ผม ก็เห็นว่าส่วนใหญ่แล้วผู้พิพากษาแทบจะทุกคน ก็มักจะรับฟังคำอธิบายของทนายความ หากท่านอธิบายด้วยเหตุผลที่หนักแน่น มีข้อมูลอ้างอิง และชี้แจงด้วยความสุภาพให้เกียรติและเคารพศาล
โดยจะต้องระมัดระวังอยู่อย่างนึงว่าการอธิบายดังกล่าวควรจะต้องขออธิบายส่วนตัวกับศาลไม่ให้พยานได้ยิน เพราะหากเราอธิบายให้พยานได้ยินว่าสาเหตุที่เราถามพยานนั้นเป็นเพราะอะไร พยานก็จะรู้เจตนาในการถามและเบิกความบ่ายเบี่ยงไป ทำให้เราเสียประโยชน์
อย่างไรก็ตามหากท่านจะต้องเจอกับผู้พิพากษาที่ไม่รับฟังคำอธิบาย เอาความเห็นของตนเองเป็นใหญ่แต่เพียงฝ่ายเดียว ท่านจะต้องทำใจให้เย็นไว้ อย่ามีอารมณ์โกรธเด็ดขาด แต่ให้ท่านใช้วิธีการแก้ไขปัญหาด้วยการยื่นคำร้องขอโต้แย้งคำสั่งระหว่างพิจารณา หรือเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบตามกฎหมายต่อไป
ผมหวังว่าบทความและเทคนิคในการทำงานจากประสบการณ์จริงเช่นนี้ จะเป็นประโยชน์แก่เพื่อนๆและผู้สนใจทุกคน สำหรับในตอนหน้าผมจะมาเขียนถึงเรื่องการถามติง และการขออนุญาตถาม ขอให้ทุกท่านรอติดตามชมในตอนหน้านะครับ