ตัวอย่างการฟ้อง คดีฉ้อโกง ในวันนี้จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับ การที่จำเลยหลอกให้ผู้เสียหายลงทุนในกิจการที่อ้างว่าจะมีผลตอบแทนเป็นจำนวนมาก
ซึ่งคดีประเภทนี้ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นประจำ ที่ทนายความจะต้องเจอ และจะต้องฟ้องคดีลักษณะนี้
โดยทั่วไปคดีประเภทนี้ จะเริ่มจากผู้ต้องหาจะมาหลอกผู้เสียหายทำนองว่า มีกิจการหรือการลงทุน ซึ่งจะมีผลกำไรตอบแทนดีเป็นอย่างมาก แต่ตัวผู้ต้องหาไม่มีเงินลงทุน หรืออ้างว่าผู้ต้องหาลงทุนไปบางส่วนแล้วได้ผลกำไรตอบแทนดี จึงชวนให้ผู้เสียหายมาลงทุนและแบ่งปันผลกำไรกัน
ในช่วงแรก ผู้ต้องหาก็จะมอบผลกำไรบางส่วนให้ผู้เสียหายตายใจและลงเงินเยอะขึ้น
และภายหลัง เมื่อผู้เสียหายลงเงินเป็นจำนวนมากแล้ว ผู้ต้องหาก็จะไม่ส่งมอบต้นเงินพร้อมกับผลกำไรให้
โดยจะอ้างเหตุผลต่างๆนานา เช่นกิจการเกิดขาดทุน คู่ค้าไม่จ่ายเงิน สินค้ามีปัญหา ฯลฯ สารพัดเหตุผลจะอ้าง
การพิจารณาว่าเป็น คดีฉ้อโกง หรือเรื่องผิดสัญญาทางแพ่ง
ในคดีแบบนี้การจะเป็นความผิดฐานฉ้อโกง หรือจะเป็นการผิดสัญญาทางแพ่ง ประเด็นมีอย่างเดียวก็คือ ผู้ต้องหาได้นำเงินของผู้เสียหายไปลงทุนในกิจการตามที่กล่าวอ้างจริงหรือไม่
หากผู้ต้องหาเอาเงินของผู้เสียหายไปลงทุนจริง แต่กิจการเกิดปัญหา ทำให้ไม่สามารถนำเงินมาคืนได้ก็เป็นเพียงแต่เรื่องผิดสัญญาทางแพ่งเท่านั้น
แต่หากผู้ต้องหาไม่ได้นำเงินของผู้เสียหายไปลงทุนจริงๆในกิจการตามที่กล่าวอ้าง ย่อมเป็นการกระทำความผิดฐานฉ้อโกงตามกฎหมาย
ตัวบทกฎหมาย
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ผู้ใดโดยทุจริต หลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง และโดยการหลอกลวงดังว่านั้นได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม หรือทำให้ผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม ทำ ถอน หรือทำลายเอกสารสิทธิ ผู้นั้นกระทำความผิดฐานฉ้อโกง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 102/2533 จำเลยที่ 1 มิได้ประกอบธุรกิจค้าขายทองคำจริงดังที่บอกโจทก์ เพียงแต่ยกขึ้นเป็นข้ออ้างเพื่อหลอกลวงให้โจทก์หลงเชื่อและมอบเงินให้จำเลยที่ 1 เท่านั้น การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นความผิดฐานฉ้อโกงดังฟ้อง ที่จำเลยที่ 1นำสืบต่อสู้คดีว่ามิได้หลอกลวงโจทก์จำเลยที่ 1 นำเงินไปลงทุนซื้อทองคำและนำทองคำไปขายให้แก่ลูกค้าจริงนั้น คงมีแต่ตัวจำเลยที่ 1 อ้างตนเองเป็นพยานเพียงปากเดียว ปราศจากพยานหลักฐานอื่นใดสนับสนุน พยานหลักฐานของจำเลยที่ 1 จึงมีลักษณะเลื่อนลอยไม่มีน้ำหนักพอที่จะหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ แต่ที่ศาลล่างทั้งสองลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 3 ปี ซึ่งเป็นโทษขั้นสูงสุดตามที่กฎหมายบัญญัติไว้สำหรับความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 นั้น เห็นว่า หนักเกินไป เนื่องจากได้ความว่าจำเลยที่ 1 กับโจทก์มีความเกี่ยวพันกันเสมือนญาติ และโจทก์ได้รับเงินคืนจากจำเลยที่ 1 เป็นจำนวน 447,500 บาท แล้วจึงสมควรวางโทษต่ำกว่าอัตราโทษขั้นสูงสุดตามที่กฎหมายบัญญัติไว้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1301/2547 จำเลยที่ 1 ไม่ได้นำเงินที่กู้ยืมจากโจทก์ร่วมและผู้เสียหายไปลงทุนหรือให้บุคคลอื่นกู้ยืมในลักษณะที่จะให้ผลประโยชน์มากเพียงพอที่จะนำมาจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ยืมให้แก่โจทก์ร่วมและผู้เสียหายได้ หากแต่การจ่ายผลประโยชน์เป็นดอกเบี้ยในอัตราสูงให้แก่โจทก์ร่วมและผู้เสียหายในครั้งแรก ๆ เป็นเพียงอุบายทุจริตตั้งเรื่องขึ้นเพื่อหลอกลวงโจทก์ร่วมและผู้เสียหายให้หลงเชื่อและส่งมอบเงินให้ การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานฉ้อโกง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 877/2537 การที่จำเลยกับพวกชักชวนผู้เสียหายทั้งสิบคนและบุคคลอื่นให้นำเงินมาลงทุนกับบริษัท เพื่อประกอบกิจการสั่งซื้อสินค้าล่วงหน้าเพื่อเก็งกำไรทั้ง ๆ ที่จำเลยรู้อยู่ว่าบริษัท อ. ไม่มีวัตถุประสงค์ในการประกอบกิจการดังกล่าวและการประกอบกิจการตามที่อ้างจะมีขึ้นไม่ได้แน่นอน การกระทำของจำเลยกับพวกจึงเป็นการหลอกลวงผู้เสียหายทั้งสิบคน และบุคคลทั่ว ๆ ไปไม่จำกัดว่าเป็นใครอันเป็นการหลอกลวงประชาชนด้วยการการแสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งโดยเจตนาทุจริต ทำให้ผู้เสียหายทั้งสิบคน หลงเชื่อมอบเงินให้แก่จำเลยกับพวกไปจำเลยจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341,343
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2901/2547 การที่จำเลยกับพวกชักชวนผู้เสียหายทั้งสิบคนและบุคคลอื่นให้นำเงินมาลงทุนกับบริษัท เพื่อประกอบกิจการสั่งซื้อสินค้าล่วงหน้าเพื่อเก็งกำไรทั้ง ๆ ที่จำเลยรู้อยู่ว่าบริษัท อ. ไม่มีวัตถุประสงค์ในการประกอบกิจการดังกล่าวและการประกอบกิจการตามที่อ้างจะมีขึ้นไม่ได้แน่นอน การกระทำของจำเลยกับพวกจึงเป็นการหลอกลวงผู้เสียหายทั้งสิบคน และบุคคลทั่ว ๆ ไปไม่จำกัดว่าเป็นใครอันเป็นการหลอกลวงประชาชนด้วยการการแสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งโดยเจตนาทุจริต ทำให้ผู้เสียหายทั้งสิบคน หลงเชื่อมอบเงินให้แก่จำเลยกับพวกไปจำเลยจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341, 343
ทั้งนี้สามารถอ่านเพิ่มเติมในเรื่องดังกล่าว ได้ในบทความเรื่อง กู้ยืม ร่วมลงทุน ฉ้อโกง แตกต่างกันอย่างไร ในลิ๊งด้านล่างครับ
กู้ยืม ร่วมลงทุน หรือฉ้อโกง แตกต่างกันอย่างไร ? เรื่องต้องรู้ก่อนฟ้องเรียกเงินทุนคืน
สำหรับ คดีฉ้อโกง ตามตัวอย่างในวันนี้
เป็นคดีที่คล้ายกับเรื่องที่ผมเล่าให้ฟังก็คือ ฝ่ายจำเลยมาหลอกลวงผู้เสียหายว่าตนเองประกอบธุรกิจ ค้าน้ำตาล และข้าวสาร
จำเลยชักชวนให้ผู้เสียหายมาลงทุน ด้วยการซื้อน้ำตาลและข้าวสาร ในราคาถูกและไปขายต่อในราคาสูงขึ้น ซึ่งจะได้ผลกำไรเป็นจำนวนมาก
ในช่วงแรกจำเลยก็ให้ผลกำไรตอบแทนตามที่ตกลงกัน ผู้เสียหายจึงยิ่งเชื่อใจลงเงินเยอะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นเงินหลายแสนบาท
สุดท้ายจำเลยก็บ่ายเบี่ยงไม่ยอมจ่ายเงินลงทุนและผลกำไร อ้างเหตุผลต่างๆนานา
ผู้เสียหายพยายามติดตามทวงถามอยู่นาน แต่ก็ไม่ได้ความคืบหน้าแต่อย่างใด มีแต่การผัดผ่อนไปเรื่อย
ผู้เสียหายจึงได้มาปรึกษาผม
ผมจึงได้ติดต่อสอบถามไปยังบริษัทค้าน้ำตาล และค้าขายข้าวสาร ที่จำเลยอ้างว่าติดต่อไปซื้อสินค้าเพื่อขายต่อ
ปรากฏว่า คู่ค้าดังกล่าวได้แจ้งว่าจำเลยไม่เคยเข้ามาติดต่อสั่งซื้อสินค้าตามที่กำหนดให้แต่อย่างใด
แสดงว่าเรื่องที่จำเลยกล่าวอ้างว่า จะนำเงินของผู้เสียหายไปลงทุนในกิจการต่างๆ จึงล้วนแต่เป็นความเท็จทั้งสิ้น
กรณีจึงเป็นความผิดฐานฉ้อโกงตามกฎหมาย
คดีนี้ผมได้ยื่นฟ้องและบรรยายฟ้องไปตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น
ซึ่งปรากฏว่าในวันนัดแรก จำเลยไม่มาศาลตามกำหนดนัดแต่อย่างใด ศาลจึงได้สั่งประทับรับฟ้อง เมื่อศาลประทับรับฟ้องแล้วก็ไม่เดินทางมาศาล
เมื่อจำเลยไม่มาศาล ศาลจึงได้ออกหมายจับจำเลย และได้ติดตามจับกุมตัวจำเลยอยู่นานก็ยังไม่ได้ตัว
สุดท้ายผมต้องลงมือสืบจับตัวจำเลยด้วยตนเอง โดยการส่งทีมงานไปลงตามสืบหาตัวจำเลยยถึงที่จังหวัดแถวภาคอีสาน
ซึ่งปรากฎว่า มาทราบภายหลังว่าจำเลยเป็นภริยาน้อยของนายตำรวจคนหนึ่ง จึงไม่มีตำรวจติดตามจับกุมตัวให้
โดยบ้านของจำเลยก็อยู่ใกล้ๆกับโรงพักแบบเดินเข้าออกกันได้นั่นเอง
สุดท้ายเมื่อจับตัวจำเลยได้แล้ว จำเลยจึงยอมรับสารภาพและคืนเงินให้ผู้เสียหายบางส่วน และตกลงว่าจะผ่อนชำระหนี้ส่วนที่เหลือ
หลังจากนั้นจำเลยก็ไม่ชำระเงินให้เสร็จสิ้น ผมจึงขอศาลอ่านคำพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยไปแล้ว ศาลจึงพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย เป็นเวลา 1 ปี 1 เดือน 10วัน
แต่ายหลังศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกจำเลยแล้วจำเลยได้หาเงินมาชำระหนี้ทั้งหมด จนผู้เสียหายพอใจ
ปัจจุบันผมจึงได้ถอนฟ้องคดีนี้ไปภายแล้วครับ
ผมจึงได้นำตัวอย่างคำฟ้อง และคำพิพากษา มาให้เพื่อนๆดูเพื่อเป็นตัวอย่างในการทำงานและศึกษาครับ
สำหรับเรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์ว่า
การลงทุนอะไรที่จะได้ผลกำไรตอบแทนง่ายๆเป็นจำนวนมาก โดยไม่มีความเสี่ยงไม่มีอยู่จริงครับ
ถ้าฝ่ายผู้ต้องหาเขาสามารถทำกำไรได้ง่ายๆเป็นจำนวนมาก เขาจะมาเอาเงินจากเราทำไมเขาไปหากู้ธนาคารหรือหาเงินทุนจากแหล่งอื่นมาทำกำไรเป็นของเขาเองคนเดียวดีกว่า
ไม่มีทางที่เขาจะมาให้เราแบ่งปันผลกำไรง่ายๆแบบนี้ นอกจากเขาคิดจะหลอกลวงเราครับ
ผมหวังว่าคำฟ้องและตัวอย่างจากการทำงานจากประสบการณ์จริงนี้ จะเป็นประโยชน์แก่เพื่อนๆและผู้สนใจครับ
อ่านตัวอย่างการฟ้องคดีฉ้อโกงตอนอื่น
1.ตัวอย่างการฟ้องคดีฉ้อโกง และเทคนิคการฟ้องคดีฉ้อโกงตอนแรก หลอกเอาเงินไปสั่งผลิตสินค้า
2. ตัวอย่างการฟ้องคดีฉ้อโกง ep2. หลอกร่วมลงทุนประกอบกิจการ
3.ตัวอย่างการฟ้องคดีฉ้อโกง ep3. หลอกลงทุนซื้อขายรถ
4.ตัวอย่างการฟ้องคดีฉ้อโกง ep4. หลอกให้เช่าซื้อรถแทน