คดีพยายามฆ่าเรื่องนี้ เกิดขึ้นประมาณปีพ.ศ 2555-2556 ที่ทางสำนักงานของผม ยังมีฐานะเป็น สภาทนายความจังหวัดชลบุรี รับให้ความช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมาย
ขณะนั้นผมยังเป็นทนายความใหม่ๆ โดยมีคุณพ่อคือ ทนายพิศิษฐ์ ศรีสังข์ เป็นผู้ช่วยวางรูปคดีนี้ โดยมีตัวผมและเพื่อนอีกคนหนึ่ง คือ คุณศิริพล ตันติพูล หรือทนายเบียร์ ซึ่งปัจจุบันได้รับราชการเป็นพนักงานอัยการ เป็นผู้ร่วมทำคดีนี้
ภรรยาของจำเลยมาร้องขอให้ทางสำนักงาน ในฐานะสภาทนายความจังหวัดในตอนนั้น ให้ว่าความแก้ต่างให้กับสามีที่ถูกขังอยู่ที่เรือนจำชลบุรีเพราะไม่มีเงินประกันตัวและไม่มีเงินว่าจ้างทนายความ
หลังจากสอบข้อเท็จจริงแล้วทางสำนักงานฯ เชื่อว่าจำเลยไม่ได้เป็นผู้กระทำผิด ประกอบกับจำเลยเป็นบุคคลยากจนจริง จึงทำความเห็นส่งเรื่องให้ทาง สำนักงานคณะกรรมช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมาย รับเป็นคดีช่วยเหลือ โดยมีท่านวีรศักดิ์ โชติวานิช เป็นผู้อนุมัติให้รับเป็นคดีช่วยเหลือของสภาทนายความ
ภายหลังจากการสอบข้อเท็จจริงอย่างละเอียด
ได้ความว่าจำเลยถูกหมายจับและถูกฟ้อง ในข้อหา ” พยายามฆ่า ” โดยตามฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยเป็นคนใช้มีดปาดคอผู้เสียหาย
และสาเหตุที่จำเลยถูกจับกุมนั้น เนื่องจากผู้เสียหายถูกคนร้ายปาดคอทำให้ภายหลังเกิดเหตุไม่สามารถพูดได้ ยังนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลในอาการที่แทบไม่มีสติสัมปชัญญะ
เจ้าพนักงานตำรวจสอบถามพยานที่เกี่ยวข้องแล้วได้ความว่า ผู้เสียหายและคนร้ายที่ชื่อว่า “นายสอง”นั้น เป็นคู่เกย์ ชายรักชาย วันเกิดเหตุผู้เสียหายมีปากเสียงกับคนร้าย คนร้ายจึงได้ใช้มีดปาดคอผู้เสียหาย
โดยเจ้าพนักงานตำรวจได้ข้อมูลเบื้องต้นว่า “นายสอง” มีภูมิลำเนาอยู่ใกล้เคียงกับบริเวณที่เกิดเหตุและมีลักษณะสำคัญคือ ไว้ผมยาว
เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนจึงได้ค้นทะเบียนราษฎร์ของผู้ชาย ที่มีภูมิลำเนาอยู่บริเวณใกล้เคียงบริเวณที่เกิดเหตุ และไว้ผมยาว ซึ่งปรากฏว่าบริเวณที่เกิดเหตุมีรูปจำเลยเป็นผู้ชายไว้ผมยาว ขณะถ่ายรูปทำบัตรประชาชนเพียงคนเดียว
เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้นำรูปจำเลยไปให้ผู้เสียหายเซ็นรับรอง และชี้รูปว่าเป็นผู้กระทำความผิดหรือไม่ ผู้เสียหายขณะนั้นอยู่ในอาการสะลึมสะลือเพราะฤทธิ์ยา ไม่สามารถพูดจาได้เนื่องจากถูกปาดคอ ทำได้เพียงพยักหน้าหรือส่ายหน้าเท่านั้น
ซึ่งเข้าใจว่า ผู้เสียหายอาจมีการสื่อสารคลาดเคลื่อน เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงจับผู้เสียหายพิมพ์ลายนิ้วมือเข้ากับบันทึกการชี้รูป เพื่อยืนยันว่าจำเลยเป็นคนกระทำความผิด และในเอกสารยังบอกว่าจำเลยมีชื่อเล่นว่า “นายสอง” จำเลยจึงได้ถูกออกหมายจับและถูกดำเนินคดี
ด้วยความที่จำเลย เป็นคนยากจนไม่มีเงินประกันตัว จำเลยจึงได้ถูกคุมขังฟรีระหว่างพิจารณาเป็นจำนวนประมาณ 3 เดือนเศษ
แต่ในชั้นพิจารณา ก็ได้ความชัดเจนว่า จำเลยไม่ได้เป็นผู้กระทำความผิดและจำเลยไม่ได้มีชื่อว่า นายสอง แต่จำเลยมีชื่อว่า นายเติ้ล ขณะที่ผู้เสียหายชี้รูปจำเลยนั้น ผู้เสียหายไม่มีสติสัมปชัญญะครบถ้วน เนื่องจากบาดเจ็บหนักและฤทธิ์ยา
โดยในการถามค้านและนำสืบคดีนี้ มีเทคนิคและรายละเอียด ดังนี
1.ถามค้านและนำสืบว่า ขณะชี้รูปผู้ต้องหานั้น ผู้เสียหายอยู่ในอาการไม่สติสัมปชัญญะครบถ้วน เนื่องจากพึ่งถูกทำร้ายมา และมีอาการมึนเพราะฤทธิ์ยา
โดยการสืบหาตัวผู้กระทำผิด ของเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน ก็ทำโดยการที่เจ้าหน้าที่ตำรวจหาข้อมูลว่า คนร้ายมีผมยาว และอาศัยอยู่ใกล้เคียงที่เกิดเหตุ โดยไม่ทราบชื่อนามสกุลจริงของคนร้าย
ซึ่งมีโอกาสผิดพลาดคลาดเคลื่อนได้มาก เพราะในบริเวณใกล้เคียงที่เกิดเหตุอาจจะมีผู้ชายที่มีผมยาวอีกหลายคน
2.ถามค้านและนำสืบว่า ขณะชี้รูปผู้ต้องหานั้น ไม่มีการนำรูปผู้ต้องสงสัยคนอื่นๆมาให้ชี้ปะปน ซึ่งเป็นการขัดกับ ระเบียบตำรวจเกี่ยวกับคดี เรื่องการชี้รูปและชี้ตัวผู้ต้องหา ที่กำหนดให้การชี้รูปนั้น จะต้องนำรูปบุคคลอื่นๆมาปะปนด้วย
การที่พนักงานสอบสวนไม่นำรูปบุคคลอื่นมาปะปนขณะชี้รูป ย่อมเป็นการชี้นำให้พยานชี้รูปผู้ต้องหา ประกอบกับขณะนั้นพยานสติสัมปชัญญะไม่สมบูรณ์ การชี้รูปดังกล่าว จึงไม่มีน้ำหนักน่าเชื่อถือเลย
3.ถามค้านและนำสืบว่า หลังจากจับกุมตัวจำเลยได้แล้ว พนักงานตำรวจ ก็ไม่ได้มีการจัดให้ผู้เสียหายชี้ตัวอีกครั้ง ซึ่งเป็นการจัดกับระเบียบตำรวจเกี่ยวกับคดี เรื่องการชี้รูปและชี้ตัวผู้ต้องหา เช่นเดียวกัน
เพราะธรรมดาแล้วระหว่างการชี้รูปผู้ต้องหา กับการชี้ตัวผู้ต้องหา การชี้ตัวที่ได้เห็นตัวจริง ย่อมมีความน่าเชื่อถือมากกว่า แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจกลับไม่ทำ
4.ถามค้านและนำสืบว่า จำเลยไม่ใช่ ” นายสอง ” แต่จำเลยมีชื่อเล่นว่า “นายเติ้ล” จำเลยไม่ใช่เกย์ แต่มีภริยาและลูก และความจริงแล้วนายสองเป็นคนอื่น
สรุปแล้ว สาเหตุที่จำเลยถูกจับกุมคดีนี้มีเพียงอย่างเดียวคือจำเลยไว้ผมยาว และมีภูมิลำเนาอยู่บริเวณใกล้เคียงที่เกิดเหตุ
นอกจากนี้ ผมยังได้สืบสวนจนกระทั่งทราบชื่อนามสกุลจริงของคนร้ายตัวจริง แล้วได้ไปแจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวนเพื่อให้ดำเนินคดีกับคนร้ายตัวจริง แต่ปัจจุบันก็ยังไม่มีการสืบสวนหาตัวผู้กระทำความผิด
สุดท้ายคดีนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ก็มีคำพิพากษายกฟ้องโจทก์ เป็นการยกฟ้องแบบใสสะอาดว่าจำเลยไม่ได้เป็นผู้กระทำความผิด และอัยการไม่ยื่นฎีกา คดีถึงที่สุดแล้ว
โดยคำพิพากพาของศาลชั้นต้นและชั้นอุทธรณ์สรุปได้ว่า เหตุที่ศาลพิพากษายกฟ้องโจทก์เนื่องจาก
1.เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่จัดให้มีการชี้ตัวจำเลย ทั้งๆที่สามารถทำได้
2.การจัดให้มีการชี้รูปของเจ้าพนักงานตำรวจ ไม่ได้นำรูปบุคคลอื่นมาปะปน
3.ขณะชี้รูป ผู้เสียหายมีสติสัมปชัญญะไม่สมบูรณ์ ไม่สามารถพูดได้ ตอบคำถามด้วยการพยักหน้าและส่ายหน้า
4.ผู้เสียหายได้ไปแจ้งความดำเนินคดี โดยระบุชื่อคนร้ายตัวจริงไว้
5.จำเลยแต่งงานและมีบุตร ไม่ได้มีพฤติการณ์เบี่ยงเบนทางเพศ อย่างที่ได้ความในชั้นสืบสวน
อ่านคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์คดีนี้ <<< กดคลิก
คดีนี้ผมได้นำจำเลยไปยื่นขอเงินชดเชย จากกองทุนยุติธรรมและ และทางกองทุนได้รับอนุมัติได้รับเงินมาเยียวยาจากกองทุนส่วนหนึ่ง ถึงแม้จะไม่เพียงพอกับความเสียหายของจำเลย แต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้เลย
ผมจึงได้นำตัวอย่างคำพิพากษาและแนวทางการต่อสู้คดีนี้ มาเพื่อเป็นตัวอย่างใช้ศึกษาและการทำงาน หวังว่าจะเป็นประโยชน์แก่เพื่อนๆและผู้สนใจครับ