การสอบสวนพยานหรือผู้เสียหายที่เป็นด็กอายุไม่เกิน 18 ปี ในคดีอาญาบางประเภทนั้น จะต้องมีการบันทึกวีดีโอให้ปรากฎภาพและเสียงขณะสอบสวนพยานผู้ผู้เสียหายไว้ด้วย ทั้งนี้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา 133 ทวิ วรรค 4 ที่วางหลักว่า “การถามปากคำเด็ก ให้พนักงานสอบสวนจัดให้มีการบันทึกภาพและเสียงในการถามปากคำ ซึ่งสามารถนำออกมาถ่ายถอดได้อย่างต่อเนื่องไว้เป็นพยาน” ทั้งนี้สามารถศึกษาเรื่องหลักเกณฑ์และวิธีการสอบสวนพยานเด็กได้อย่างละเอียด ในบทความเรื่อง การสอบสวนพยานหรือผู้เสียหายที่เป็นเด็กอายุไม่เกิน 18
อย่างไรก็ตาม มีปัญหาข้อกฎหมายที่น่าสนใจว่า ในชั้นพิจารณาหากคลิปวีดีโอการสอบสวนพยานเด็กดังกล่าว เกิดเสียหายหรือสูญหาย ไม่สามารถเปิดได้ จะมีผลทางกฏหมายเป็นอย่างไร ?
ปัญหานี้มี คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 837/2563 วางหลักไว้ว่า
ในการถามปากคําพยานซึ่งเป็นเด็กอายุไม่เกินสิบแปดปี ในคดีความผิดเกี่ยวกับเพศ ป.วิ.อ. มาตรา ๑๓๓ ทวิ บัญญัติให้พนักงานสอบสวน แยกกระทําเป็นส่วนสัดในสถานที่ที่มีความเหมาะสม กับต้องให้นักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์ บุคคลที่เด็กร้องขอ และพนักงานอัยการร่วมอยู่ด้วยในการถามปากคําเด็กนั้น โดยในวรรคสี่ของมาตราดังกล่าว ซึ่งอยู่ภายใต้บังคับมาตรา ๑๓๙ กําหนดให้พนักงานสอบสวน นอกจากจะต้องบันทึกการถามปากคําพยานเด็กไว้เป็นหนังสือ เช่นเดียวกับพยานบุคคลโดยปกติทั่วไปแล้ว ยังจะต้องจัดให้มีการบันทึกภาพและเสียงการถามปากคําพยานเด็กนั้น ซึ่งสามารถนําออกถ่ายทอดได้อย่างต่อเนื่องไว้ด้วย ฉะนั้นเมื่อได้ความตามบันทึกคําให้การของเด็กหญิง ก. ที่จัดทําเป็นหนังสือว่าในการถามปากคํา มีสหวิชาชีพตามที่กฎหมายกําหนดร่วมอยู่ด้วย มีการบันทึกภาพและเสียงการถามปากคําเด็กหญิง ก. ต่อหน้าสหวิชาชีพไว้ในแผ่นวีดิทัศน์แล้ว ดังนี้จึงเป็นการปฏิบัติตามที่กฎหมายบัญญัติไว้อย่างครบถ้วน การสอบสวนพยานเด็กดังกล่าวย่อมชอบด้วยกฏหมาย แม้ต่อมาภายหลังไฟล์ภาพและเสียงซึ่งบันทึกไว้ในแผ่นวีดิทัศน์ดังกล่าวเสียหายไม่สามารถเปิดดูได้ ก็หาทําให้การสอบสวนที่ชอบด้วย กฎหมายกลายเป็นการสอบสวนที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายไปไม่
สรุปแล้ว ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ถึงแม้บันทึกวีดีโอการสอบสวนเด็กจะสูญหายหรือเสียหายไม่สามารถเปิดได้ แต่ถ้าได้ความว่าการสอบสวนได้ทำโดยถูกต้อง กล่าวคือ ได้มีการแยกการสอบสวนเป็นส่วนสัด มีพนักงานอัยการ สหวิชาชีพ บุคคลที่เด็กไว้ใจ เข้าร่วมการสอบสวนแล้ว ก็ยังถือว่าเป็นการสอบสวนที่ชอบด้วยกฎหมายอยู่ ไม่ทำการให้การสอบสวนเสียไป
วิเคราะห์ฎีกา
ผมเห็นด้วยว่า การที่บันทึกวีดีโอการสอบสวนเด็กจะสูญหายหรือเสียหายไม่สามารถเปิดได้ ย่อมไม่ถือว่าทำให้การสอบสวนเสียที่ทำมาโดยถูกต้องตั้งแต่ต้นแล้วเสียไปทั้งหมด แต่อย่างไรก็ตามการที่ฝ่ายโจทก์ ไม่มีบันทึกวีดีโอมาแสดงต่อศาลตามที่กฎหมายกำหนด ย่อมทำให้น้ำหนักความน่าเชื่อถือของคำให้การชั้นสอบสวนของพยานเด็กนั้นลดลงไป ไม่ใช่ไม่มีผลเสียอะไรเลย
เพราะการให้การในชั้นสอบสวนของผู้เสียหายหรือพยานที่เป็นเด็ก ซึ่งทำในเวลาใกล้เคียงกับการเกิดเหตุนั้น ย่อมมีความน่าเชื่อถือมากที่สุด และบางครั้งระหว่างการให้การ พยานที่เป็นเด็กอาจจะให้การหรือชี้แจงข้อเท็จจริงบางอย่างที่เป็นประโยชน์กับฝ่ายจำเลย หรือเป็นข้อสำคัญในคดี แต่พนักงานสอบสวนไม่บันทึกไว้ในเอกสาร หรือการถามปากคำเด็ก บางครั้งมีลักษณะเป็นการถามนำหรือชี้นำคำตอบ หรือบังคับให้เด็กตอบ หรือมีการเอาสคริปต์มาให้เด็กอ่านระหว่างการสอบสวน ซึ่งหากมีการเปิดวีดีโอขณะสอบสวน ก็จะแสดงให้เห็นข้อพิรุธดังกล่าวได้ ดังนั้นการที่ฝ่ายโจทก์ประมาทเลินเล่อทำบันทึกวีดีโอเสียหายหรือสูญหาย ถึงแม้ไม่ให้การสอบสวนเสียไป แต่ก็ทำให้กระทบต่อความน่าเชื่อถือของคำให้การชั้นสอบสวนของพยานเด็ก หากทนายความจำเลยถามค้านและตั้งประเด็นต่อสู้ในประเด็นดังกล่าว
ทั้งนี้ในทางปฏิบัติ จะเป็นที่ทราบดีว่าในการสอบสวนผู้เสียหายหรือพยานที่เป็นเด็กนั้น ส่วนใหญ่แล้ว พนักงานสอบสวนจะไม่ได้มานั่งสอบสวนและพิมพ์คำให้การกันต่อหน้าพนักงานอัยการ สหวิชาชีพ และบุคคลที่เด็กไว้วางใจกันจริงๆ อย่างที่กฎหมายกำหนด แต่พนักงานสอบสวนจะทำการสอบสวนพยานเด็กจากที่โรงพักมาก่อน และพิมพ์คำให้การมาจนเสร็จแล้ว จากนั้นจึงค่อยมานั่งถามตอบเด็กพร้อมบันทึกวีดีโอพอเป็นพิธีต่อหน้านักสังคมสงเคราะห์ บุคคลที่เด็กไว้วางใจ และพนักงานอัยการ เท่านั้น โดยเพื่อนๆพนักงานสอบสวนของผมก็แจ้งว่า อัยการสั่งมาให้ทำแบบนี้เพื่อความรวดเร็ว หากไม่ทำมาก็จะถูกตำหนิ
ซึ่งการสอบสวนพยานเด็กลักษณะดังกล่าว ไม่เป็นไปตามเจตนาของกฎหมายที่ต้องการให้สอบถามปากคำเด็ก จะต้องแยกทำเป็นส่วนสัด ต่อหน้าสหวิชาชีพ พนักงานอัยการ และบุคคลที่เด็กไว้วางใจ เพราะมีการสอบสวนมาจนเสร็จแล้ว ค่อยมาถามตอบให้เป็นไปตามการสอบสวนครั้งแรกเท่านั้น ซึ่งหากมีการเปิดคลิปวีดีโอการสอบสวนดู อาจจะพบเห็นข้อพิรุธต่างๆ ในการสอบสวนได้ เช่น มีการเอาสคริปต์ให้เด็กอ่านระหว่างการสอบสวน การไม่บันทึกคำตอบบางคำตอบที่เป็นประโยชน์กับจำเลย การชักจูงให้เด็กให้การตามที่ตนเองต้องการ เป็นต้น
ดังนั้นแล้วหากท่านเป็นทนายความจำเลย ในชั้นพิจารณาหรือสืบพยาน ก็ ควรขอให้มีการเปิดคลิปวีดีการสอบสวนพยานเด็กประกอบการพิจารณา และขอให้ฝ่ายโจทก์ส่งคลิปวีดีโอดังกล่าวมาเป็นพยานหลักฐานประกอบการพิจารณา ก็จะเป็นประโยชน์ต่อการพิสูจน์ความจริงให้กับจำเลย และหากปรากฎว่าคลิปวีดีโอดังกล่าว สูญหายหรือเสียหายไม่สามารถเปิดในชั้นพิจารณาได้ ถึงแม้จะไม่ทำให้การสอบสวนเสียไปทั้งหมด แต่ก็มีผลกระทบต่อความน่าเชื่อของน้ำหนักคำการให้การชั้นสอบสวนและความน่าเชื่อถือของพยานครับ