การทำงานของทนายความในคดีอาญา มักมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยว่า เอกสารพิพาทเป็น ” เอกสารปลอม “หรือ “เอกสารเท็จ ” อยู่เสมอ หากทนายความวินิจฉัยข้อกฎหมายดังกล่าวผิดพลาด ย่อมวางรูปคลาดเคลื่อนไปด้วย
เอกสารทั้งสองประเภทนี้มีความใกล้เคียงกัน บางอย่างก็เหมือนกัน บางอย่างก็แตกต่างกัน ดังนั้นเราต้องเข้าใจข้อกฎหมายเรื่องดังกล่าวอย่างแตกฉาน มิฉะนั้นเราอาจตั้งเรื่องฟ้องคดีหรือตั้งรูปสู้คดีผิดพลาด
วันนี้ผมจะมาอธิบายถึงข้อกฎหมายเรื่องนี้ แบบเข้าใจง่ายๆ พร้อมกับรวบรวมแนวคำพิพากษาศาลฎีกาที่น่าสนใจ เพื่อเป็นคู่มือในการทำงาน เมื่อต้องเจอปัญหาลักษณะดังกล่าวครับ
เอกสารปลอม คืออะไร
คำนิยามของเอกสารปลอม หมายถึง
“เอกสารที่ปรากฎข้อมูลว่าใครเป็นผู้ทำ แต่บุคคลดังกล่าว ไม่ได้เป็นผู้ทำจริง หรือเอกสารที่ทำขึ้นโดยผู้ทำเอกสารไม่มีอำนาจทำ แต่แอบอ้างว่าตนเองมีอำนาจ”
โดยท่านอาจารย์ จิตติ ติงศภัทิย์ กล่าวไว้ว่า จะเป็นเอกสารปลอมหรือไม่ ต้อง “เพ่งเล็งผู้ทำเอกสาร “
และท่านอาจารย์ เกียรติขจร วัจนะสวัสดิ์ กล่าวไว้ว่า การปลอมเอกสารเป็นการ “หลอกในตัวผู้ทำเอกสาร”
สรุปแล้วเอกสารปลอม เป็นการลวงให้ผู้อื่น หลงเข้าใจผิดใน “ตัวบุคคลผู้ทำเอกสาร “ ดังนั้นเอกสารปลอม คือเอกสารที่ทำขึ้น เพื่อ
1.หลอกให้ผู้อื่นที่เห็นเอกสารหลงเชื่อว่า ผู้ที่ทำเอกสารคือใคร โดยที่ผู้นั้นไม่ได้จัดทำเอกสารขึ้นจริงๆ และไม่ได้มอบอำนาจให้ผู้อื่นทำ
2.หรือหลอกว่าผู้จัดทำเอกสารนั้นมีอำนาจทำเอกสารดังกล่าว โดยที่ผู้นั้นไม่มีอำนาจจัดทำจริง
ถ้าเข้าลักษณะใดลักษณะหนึ่งข้างต้น ถึงแม้เนื้อหานั้นจะถูกต้องกับความจริง ก็ถือเป็นเอกสารปลอม
ตัวอย่างเปรียบเทียบที่น่าสนใจ
ฎ.1269/2481 จำเลยเป็นครูใหญ่ มีอำนาจออกใบสุทธิ(ใบรับรองการศึกษา)ให้นักเรียนได้ แม้ออกใบสุทธิให้กับนักเรียนโดยผิดไปจากความจริง (นักเรียนจบ ป.2 แต่ไปออกใบสุทธิว่าจบ ป.3 ) ก็เป็นการทำเอกสารตามอำนาจหน้าที่ ไม่เป็นความผิดฐานปลอมเอกสาร เพราะจำเลยมีอำนาจจัดทำใบสุทธิ
ฎ.795/2518 จำเลยไม่ใช่ครูใหญ่ แม้อยู่ระหว่างยื่นเรื่องขออนุญาตบรรจุเป็นครูใหญ่ แต่ระหว่างที่ยังไม่ได้รับใบอนุญาต จำเลยไปออกใบสุทธิ(ใบรับรองการศึกษา) ให้นักเรียน แม้เนื้อหาในใบสุทธิจะเป็นความจริง (นักเรียนเรียนจบจริง) ก็เป็นความผิดฐานปลอมเอกสาร เพราะจำเลยไม่มีอำนาจจัดทำใบสุทธิ
เปรียบเทียบฎีกาสองอันนี้เข้าด้วยกัน จะเห็นภาพชัดเจนว่า
ถ้าผู้ทำเอกสารนั้น ทำเอกสารดังกล่าวด้วยตนเองจริง และผู้ทำมีอำนาจทำเอกสารดังกล่าว แม้เนื้อหาในเอกสารนั้นเป็นเท็จ ก็ไม่ใช่เอกสารปลอม
แต่ถ้าผู้ทำเอกสารนั้น ไม่ได้ทำหรือไม่มีอำนาจทำเอกสารดังกล่าว แม้เนื้อหาในเอกสารนั้นเป็นความจริง ก็ถือเป็นเอกสารปลอม
ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าเนื้อหาในเอกสารปลอมจะต้องเป็นจริงเสมอไป เนื้อหาในเอกสารปลอม อาจจะเป็นความจริงหรือความเท็จก็ได้
แต่ประเด็นก็คือ เนื้อหาของเอกสารไม่ใช่ข้อตัดสินว่า เอกสารดังกล่าวจะเป็นเอกสารปลอมหรือไม่ เพราะต้องตัดสินที่ “ตัวผู้ทำเอกสาร” ถ้าบุคคลที่มีชื่อในเอกสาร เป็นผู้ทำเอกสารจริง และบุคคลผู้นั้นมีอำนาจทำเอกสารได้ เอกสารนั้นก็ไม่ใช่เอกสารปลอม แม้เนื้อหาในเอกสารจะเป็นความเท็จ
ดังนั้น เอกสารปลอมแบ่งเป็นสองแบบคือ “เอกสารที่ทั้งปลอมทั้งเท็จ” กับ“เอกสารที่ปลอมแต่ไม่เท็จ” ยกตัวอย่างเช่น
เอกสารปลอมที่เนื้อหาตรงกับความจริง (เอกสารปลอมแต่ไม่เท็จ)
ฎ.795/2518 เรื่องครูใหญ่ที่ยกตัวอย่างข้างต้น แม้นักเรียนจบการศึกษาจริง แต่จำเลยไม่ใช่ครูใหญ่ ไม่มีอำนาจออกใบสุทธิ ก็เป็นเอกสารปลอม
ฎ.1375/2522 แม้ข้อความที่ปรากฎในเอกสารจะเป็นความจริง แต่จำเลยไม่มีอำนาจกระทำเอกสาร ก็เป็นเอกสารปลอมได้
ฎ.617/2481 จำเลยไม่มีอำนาจจดข้อความลงในเอกสาร แม้จะจดไปตามความจริงก็เป็นเอกสารปลอม
เอกสารปลอมที่เนื้อหาเป็นความเท็จ (เอกสารทั้งปลอมทั้งเท็จ)
ฎ.934/2519 จำเลยปลอมเอกสารว่าสอบปากคำนาย จ.และลงลายมือชื่อนาย จ.ในเอกสาร ทั้งที่ไม่เคยสอบปากคำเลย
ฎ.10385/2546 ปลอมใบถอนเงิน โดยที่เจ้าของบัญชีไม่เคยทำใบถอนเงินดังกล่าวเลย
ฎ.1895/2546 อ้างตัวว่าเป็นเจ้าของรถ และหลอกขายรถให้ผู้เสียหาย จากนั้นทำสัญญาซื้อขายรถเป็นชื่อตนเอง
นอกจากนี้ยังมี เอกสารปลอมในรูปแบบอื่นๆ คือ เอกสารที่แท้จริง แต่ ไปแก้ไข เพิ่มเติม ตัดทอน เนื้อหาในเอกสารดังกล่าว โดยไม่มีอำนาจจะกระทำได้ แต่ไม่ใช่เป็นประเด็นที่จะมาพิจารณากันในหัวข้อนี้ ผมจึงขอไม่พูดถึง
การปลอมเอกสารจะมีความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 264-265 และหากผู้ใดนำเอกสารปลอมไปใช้จะมีความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 268
เอกสารเท็จ คืออะไร
คำนิยามของเอกสารเท็จ คือ
“เอกสารที่ทำขึ้นโดยปรากฎข้อมูลว่าบุคคลใดเป็นผู้ทำ และบุคคลนั้นจัดทำเอกสารจริง และบุคคลดังกล่าวมีอำนาจจัดทำเอกสาร แต่เนื้อหาในเอกสารไม่ตรงกับความเป็นจริง”
ลักษณะของเอกสารเท็จ จึงเป็นการลวงให้ผู้อื่นเข้าใจผิดในเนื้อหาที่ปรากฎในเอกสารนั้น แต่ไม่ได้ลวงให้ผู้อื่นเข้าใจผิดในตัวผู้ทำเอกสาร
หรือที่ อาจารย์หยุด แสงอุทัย นิยามเอกสารเท็จว่าเป็น “หนังสือโกหก” หรืออีกนัยหนึ่ง เอกสารเท็จมีเจตนาในการ “หลอกในเนื้อหา”
ดังนั้นถ้าผู้จัดทำเอกสารมีอำนาจในการจัดทำเอกสารดังกล่าว ถึงแม้เนื้อหาในเอกสารดังกล่าวจะเป็นความเท็จ ก็ไม่เป็นความผิดฐานปลอมเอกสาร
ตัวอย่างเช่น
ฎ.1411/2494 ถ้าผู้ทำเอกสารมีอำนาจทำเอกสารได้ ถึงเนื้อหาในเอกสารจะเป็นเท็จ ก็ไม่เป็นเอกสารปลอม มีคำพิพากษาศาลฎีกาที่ฎ.545/2494 , ฎ.7/2516 , 15248 – 15249/2557 , 1032/2558 วินิจฉัยไปทำนองเดียวกัน
ฎ.2907/2506 จำเลยเป็นเลขานุการสภาเทศบาล ทำรายงานการประชุมอันเป็นเท็จ ไม่เป็นความผิดฐานปลอมเอกสาร แต่อาจผิดฐานทำเอกสารราชการอันเป็นเท็จ มีคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6509/2549 วินิจฉัยในทำนองเดียวกัน
ฎ.34/2491 จำเลยมีหน้าที่ในการจัดทำบิลสินค้า ทำเอกสารอันเป็นเท็จว่าเอาสินค้าไปขายที่ร้านค้า แต่ไม่ได้เอาไปขายที่ร้านค้าดังกล่าวจริง แต่เอาไปขายร้านอื่น และแอบเอากำไรส่วนต่างไป การทำเอกสารดังกล่าวเป็นการทำขึ้นตามอำนาจหน้าที่ ตามตำแหน่งของจำเลย จึงไม่เป็นความผิดฐานปลอมเอกสาร โดยมี ฎ.484/2503 วินิจฉัยไปในทำนองเดียวกัน
ฎ.106/2497 จำเลยทั้งสอง ไม่ได้ทำสัญญาเช่ากันจริง แต่แกล้งทำสัญญาเช่าขึ้น เพื่อใช้เป็นหลักฐานอ้างส่งต่อศาล ไม่เป็นเอกสารปลอม เพราะทั้งสองฝ่ายมีสิทธิทำสัญญากันเองได้ โดยมี ฎ.1046-1047/2526 วินิจฉัยไปทำนองเดียวกัน
ฎ.1751/2515 ผู้จัดการธนาคารลงลายมือชื่อรับรองตั๋วแลกเงินเกินอำนาจของตน เป็นการทำตามหน้าที่ แม้ผิดระเบียบของธนาคาร ก็ไม่เป็นความผิดฐานปลอมเอกสาร โดยมีฎีกา 368/2521 วินิจฉัยไปทำนองเดียวกัน
ฎ.1343/2508 จำเลยทำบัญชีรับจ่ายอันเป็นเท็จ แต่เป็นการทำในนามตนเอง ไม่เป็นเอกสารปลอม
ฎ.2245/2515 นายทะเบียนออกใบมรณะบัตร ว่าคนตาย ทั้งๆที่คนนั้นตาย ไม่ผิดปลอมเอกสาร โดยมีฎีกา ฎ.2302/2523 วินิจฉัยไปทำนองเดียวกัน
สุรปแล้ว ถ้าผู้ทำเอกสารมีอำนาจจัดทำเอกสารและไม่ได้แอบอ้างชื่อคนอื่นในการทำเอกสาร แม้เนื้อหาในเอกสารไม่ถูกต้อง ก็ไม่เป็นเอกสารปลอม แต่ถือเป็นเอกสารเท็จ
คนธรรมดาจัดทำเอกสารเท็จ ไม่มีความผิดอาญาตามกฎหมายแต่อย่างใด
แต่ถ้าผู้จัดทำเอกสารเป็นเจ้าพนักงานอาจมีความผิดตามประมวลกฎหมาย มาตรา 162 และหากเป็นผู้ประกอบวิชาชีพทำเอกสารเท็จก็อาจมีความผิดตามประมวลกฎหมายมาตรา269
และหากคนธรรมดาไม่ได้จัดทำเอกสารเอง แต่แจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จในเอกสารราชการ ก็อาจเป็นความผิดฐานแจ้งเจ้าพนักงานให้จดข้อความอันเป็นเท็จตาม ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 267
สรุปข้อแตกต่าง ระหว่างเอกสารปลอมกับเอกสารเท็จ
1.เรื่องเนื้อหา
เนื้อหาในเอกสารปลอม อาจจะเป็นความจริงหรืออาจจะเป็นความเท็จก็ได้
เนื้อหาในเอกสารเท็จ จะต้องเป็นความเท็จเท่านั้น
2.เรื่องอำนาจในการทำเอกสาร
เอกสารปลอมจะต้องจัดทำโดย บุคคลอื่นที่ไม่ได้ปรากฎในเอกสาร หรือผู้จัดทำไม่มีอำนาจทำเอกสารดังกล่าว
เอกสารเท็จจะต้องจัดทำโดย บุคคลซึ่งมีอำนาจในการทำเอกสารดังกล่าว
3.ประเด็นที่หลอก
เอกสารปลอม จะต้องจัดทำขึ้นเพื่อให้เชื่อว่าบุคคลใดเป็นคนทำเอกสาร หรือเพื่อให้เชื่อว่าผู้จัดทำเอกสารมีอำนาจทำเอกสารดังกล่าวได้
เอกสารเท็จ จัดทำขึ้นเพื่อให้เชื่อว่าเนื้อหาในเอกสารดังกล่าวเป็นความจริง
4. เรื่องการปรับบทกฎหมาย
เอกสารปลอม ปรับใช้กับ ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 264 มาตรา 265 และมาตรา 267
เอกสารเอกสารเท็จ ปรับใช้กับ ประมวลกฎหมายอาญา 267 มาตรา 269 และมาตรา 162
ตำราที่ใช้ค้นคว้าและอ้างอิงประกอบการเขียนบทความ
กฎหมายอาญา ภาค 2 ตอน 1 จิตติ ติงศภัทิย์
กฎหมายอาญา ภาคความผิด เล่ม 2 ดร.เกียรติขจร วัจนะสวัสดิ์
คำอธิบาย ความผิดเกี่ยวกับการปลอมและการแปลงตามประมวลกฎหมายอาญา ศ.ด.ร. สุรศักดิ์ ลิขสิทธิ์วัฒนกุล
กฎหมายอาญา ภาค 2-3 ศ.ดร.หยุด แสงอุทัย
สุดท้ายหวังว่าบทความนี้ จะเป็นประโยชน์แก่เพื่อนๆและผู้สนใจทุกคนนะครับ ถ้ามีคำถามหรือข้อสงสัยตรงไหน คอมเม้นท์สอบถามได้เลย ผมยินดีตอบให้ทุกคำถามครับ