บทความกฎหมายอาญาและวิธีพิจารณาความอาญา

ตัวอย่างการต่อสู้ คดียาเสพติด ตอน ” เมื่อผู้จับกลายเป็นผู้จำหน่าย ” เล่าประสบการณ์จากคดีความจริง

ตัวอย่างการต่อสู้ คดียาเสพติด วันนี้ เป็นอีกคดีที่ผมประทับใจ 

คดีนี้ตัวจำเลย เป็นหนุ่มหน้าตาดี ประกอบอาชีพประจำมีรายได้สูง เป็นคนมีความสามารถ แต่ก็ติดนิสัยชอบเที่ยวกลางคืน ชอบใช้ชีวิตท่ามกลางแสงสี สุรานารี ใช้ชีวิตประมาณว่า work hard play harder ทำงานหนัก party เต็มที่ ประมาณนั้น 

สุดท้ายจำเลยก็พลาดเข้าสู่วงการยาเสพติด ด้วยการเสพยาเสพติดหลายประเภท ทำนองว่าการเสพยา จะทำให้เที่ยวกลางคืนได้สนุกขึ้น และจะเป็นที่นิยมในหมู่สาวๆนักเที่ยว 

จำเลยเคยถูกจับกุมข้อหามียาเสพติดไว้ในครอบครองหลายครั้ง แต่ก็ยังไม่เข็ด ยังไม่เลิกพฤติกรรมยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด เพราะยังไม่เคยถูกจำคุกจริงๆ เพราะที่ผ่านมาจำเลยมีพฤติกรรมเป็นแค่ผู้เสพไม่ใช่ผู้จำหน่ายศาลจึงรอการลงโทษ 

จุดเปลี่ยนเมื่อมาเจอโจรในคราบตำรวจ 

จนกระทั่งจำเลยโคจรมาเจอกับ ร.ต.อ. อักษรย่อ น. ซึ่งเป็นสารวัตรสืบโรงพักกลางเมืองกรุงเทพในขณะนั้น ซึ่งมีภาพพจน์เป็นตำรวจน้ำดีที่ทำงานเกี่ยวกับการปราบปรามยาเสพติด 

ร้อยตำรวจเอก น. ขึ้นเป็นสารวัตรสืบติดยศร้อยตำรวจเอกตั้งแต่อายุเพียง 20 กว่าเท่านั้น ด้วยผลงานปราบปรามยาเสพติดเป็นจำนวนมากออกข่าวโด่งดังหลายครั้ง 

แต่เบื้องหลังร้อยตำรวจเอก น. ไม่ใช่คนดีอย่างที่ทุกคนคิด แต่พฤติกรรมของร้อยตำรวจเอก น. และทีมงานก็คือ มีพฤติการณ์ชั่วครบสูตร 

ตั้งแต่การจับกุมผู้ต้องหาคดียาเสพติด แล้วเรียกรับเงินเพื่อปล่อยตัวผู้ต้องหาไป หลังจากนั้นก็ยึดเอายาเสพติด โทรศัพท์มือถือ หรือทรัพย์สินที่ติดตัวผู้ต้องหาไว้เป็นของแถม 

หากผู้ต้องหาเป็นผู้หญิง และไม่มีเงินที่จะจ่ายให้ ก็จะใช้วิธีการขอมีเพศสัมพันธ์ เพื่อแลกกับการปล่อยตัวผู้ต้องหาไป 

ส่วนยาเสพติดที่ได้มาจากการยึดนั้น ก็จะเอาไปให้ทีมงานของตนเองเป็นคนขายต่อไป ทีมงานไหนที่เป็นคนขายฝั่งของตนเองก็จะไม่จับ เลี้ยงไว้ให้ขายยาเสพติดให้กับตนเอง 

ส่วนผู้ค้ายาฝ่ายตรงข้าม ที่ไม่ได้อยู่ในเครือข่ายของตนเอง ก็จะถูกจับกุมสร้างผลงานให้กับตนเอง และแบ่งตอนยาเสพติดบางส่วนมาขายต่อไป  

จำเลยในคดีนี้ เคยถูกร้อยตำรวจเอก น. จับกุมมาแล้วก่อนหน้านี้ และเคยได้มีการต่อรองปล่อยตัวจำเลยออกมา โดยร้อยตำรวจเอก น. ได้รับเงินเป็นจำนวนหนึ่งพร้อมทรัพย์สินของจำเลยที่มีอยู่ติดตัวเป็นการตอบแทน 

สาเหตุที่ทำให้แตกหักกับผู้กอง

หลังจากนั้น ร้อยตำรวจเอก น. ได้พยายามติดต่อให้จำเลยไปล่อซื้อยาเสพติด จากผู้ค้ายาเสพติดซึ่งจำเลยเคยได้ไปซื้อมา ซึ่งเป็นคนละทีมงานกับร้อยตำรวจเอก น. 

แต่จำเลยไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวและไม่ให้ความร่วมมือกับร้อยตำรวจเอก น. เพราะกลัวว่าจะถูกผู้ค้ายาฝั่งตรงข้ามอาฆาต ทำให้ร้อยตำรวจเอก น. ไม่พอใจจำเลยเป็นอย่างมาก และได้อาฆาตต้องการดำเนินคดีกับจำเลย ที่ไม่ยอมทำตามคำสั่ง 

เหตุการณ์คดีนี้ 

ก่อนเกิดเหตุจับกุมตัวจำเลยได้นั้น ร้อยตำรวจเอก น. ได้จับกุมตัว นาย บ. ซึ่งเป็นเด็กเสิร์ฟในผับแห่งหนึ่ง และรับจ๊อบส่งยาเสพติดให้กับนักท่องเที่ยวซึ่งรวมถึงตัวจำเลยด้วย 

หลังจากจับกุมตัว นาย บ.ได้แล้ว ร้อยตำรวจเอก น. ก็ใช้วิธีการเดิมคือแบ่งยาเสพติดบางส่วนที่จับได้มาเอาไว้ขายเอง ส่วนมือถือของ นาย บ. ร้อยตำรวจเอก น. ก็ยึดไว้ใช้งาน 

หลังจากนั้นร้อยตำรวจเอก น. ก็สวมรอยเป็น นาย บ. ส่งข้อความผ่านแอพพลิเคชั่นไลน์ จากมือถือของ นาย บ. ไปหาจำเลยว่ามียาเสพติดพร้อมจำหน่ายเป็นยาของดีได้มาจากเมืองนอก หากจำเลยสนใจ  ก็มีของพร้อมจำหน่าย

จำเลยสนใจยาเสพติดดังกล่าว  จึงเท่ากับติดกับของร้อยตำรวจเอก น.

ร้อยตำรวจเอก น. จึงได้แจ้งบอกว่าให้มารับยาเสพติดที่สถานที่แห่งหนึ่งบริเวณใกล้เคียงกับโรงแรม 

เมื่อจำเลยเดินทางไปรับยาเสพติดที่สถานที่ดังกล่าว ยังไม่ทันที่จะได้พบเห็นยาเสพติดก็ถูกร้อยตำรวจเอก น. กับพวกจับกุม พร้อมกับยัดยาเสพติดให้ 

 

 

ชุดจับกุม สวมรอยว่าเป็น ผู้ค้ายา และเสนอขายยาเสพติดให้กับจำเลย

คดีนี้จำเลยให้การปฏิเสธตลอดมา แล้วมาปรึกษาผม ผมจึงแนะนำให้ต่อสู้คดีไปตามความจริงทุกอย่าง ว่าเราถูกล่อให้กระทำความผิด และเรายังไม่ได้ครอบครองยาเสพติดในที่เกิดเหตุ ดังนั้นเราจึงไม่มีความผิด 

คดีนี้ในชั้นสอบสวนล่าช้าเป็นอย่างมาก ส่วนสาเหตุเป็นอย่างไรเดี๋ยวผมจะอธิบายต่อในตอนหลังเพราะเรื่องยาว แต่สรุปได้ว่าคดีนี้ ได้มาขึ้นศาลภายหลังเกิดเหตุเป็นเวลานานถึงประมาณ 5 ปี 

ผลกรรมเริ่มทำงาน

ระหว่างระยะเวลานั้นผลกรรมก็เริ่มทำงาน ร้อยตำรวจเอก น. ถูกย้ายออกนอกพื้นที่นครบาล ไปอยู่ทำเลทองที่ภาคใต้ และหลังจากนั้นร้อยตำรวจเอก น. ก็พลาดถูกจับกุมข้อหาครอบครองยาเสพติดเพื่อจําหน่าย และถูกดำเนินคดี เมื่อปี พ.ศ. 2561 

คดีนี้มีการสืบพยานเมื่อปีพ.ศ. 2563 ขณะนั้นร้อยตำรวจเอก น. ก็ยังถูกคุมขังอยู่ และตอนมาเบิกความคดีนี้ ร้อยตำรวจเอก น.ก็มาในสภาพของนักโทษ 

ร้อยตำรวจเอก น. มาเบิกความในสภาพนักโทษ เนื่องจากถูกจับกุมในคดีครอบครองยาเสพติดเพื่อจำหน่ายในคดีอื่น

การต่อสู้คดี

คดีนี้ผมตั้งประเด็นข้อต่อสู้ไว้หลายประเด็น และได้ถามค้านพยานโจทก์ เพื่อแสดงให้เห็นว่า เรื่องราวที่ตำรวจกล่าวอ้างนั้นไม่เป็นความจริง 

โดยตำรวจได้พยายามปั้นแต่งเรื่องราวขึ้นมาว่า วันเกิดเหตุได้มีสายลับแจ้งว่าบุคคลน่าสงสัยเดินอยู่บริเวณใกล้เคียงกับที่เกิดเหตุ จึงได้เดินทางไปบริเวณสถานที่เกิดเหตุพบจำเลยเดินอยู่มีพฤติกรรมน่าสงสัยจึงเข้าตรวจค้นและพบยาเสพติด 

ซึ่งความจริงแล้ว เป็นความเท็จทั้งสิ้นเพราะเป็นการที่เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุม ได้วางแผนใช้โทรศัพท์มือถือของ นาย บ. รอให้จำเลยออกมาในที่เกิดเหตุเพื่อจับกุมเพราะไม่พอใจที่จำเลยไม่ยอมไปต่องานสั่งซื้อยาเสพติดให้ 

ประเด็นนี้มีข้อพิรุธหลายอย่างเช่น

1.เรื่องที่กล่าวอ้างว่ามีสายลับแจ้งก็เป็นเรื่องเลื่อนลอย ตำรวจก็อ้างว่าไม่รู้จักสายลับแล้วก็ไม่รู้ว่าสายลับได้เบอร์ตัวเองมาได้อย่างไร  

ตอบคำถามค้านเรื่องสายลับ

ตอบคำถามค้านเรื่องสายลับ

2.สถานที่ที่อ้างว่าจำเลยไปยืนอยู่จนกระทั่งถูกตำรวจจับกุมเป็นสถานที่เปลี่ยวที่ไม่น่าจะมีใครไปเดินเล่นอยู่บริเวณนั้นได้ 

บริเวณที่เกิดเหตุซึ่งเป็นที่เปลี่ยว ไม่น่าจะมีใครไปยืนรอโดนจับบริเวณนั้นได้

3.ทำไมถึงได้เชื่อคนที่ไม่รู้จัก แล้วนำคนไปตรวจทันที โดยไม่มีสาเหตุใดๆ แล้วก็บังเอิญจับจำเลยได้อย่างไม่น่าเชื่อ

4.ไม่มีการถ่ายรูปขณะทำการตรวจค้นหรือรูปยาเสพติดของกลางไว้เลย โดยอ้างว่าหลงลืม

อ้างว่าไม่ได้เก็บรูปอะไรมาเลยเพราะหลงลืม

5.ไม่มีการตรวจยึดโทรศัพท์มือถือหรือกระเป๋าเงินของจำเลยไว้เลยทั้งๆที่ธรรมดาแล้วคนทั่วไปย่อมมีโทรศัพท์มือถือติดตัว (ความจริงตรวจยึดไว้แล้วแต่ตำรวจ ยึดเอาไปใช้เองทั้งหมด)

อ้างว่ามีคดีอื่นต้องไปทำ ไม่มีเวลาตรวจสอบมือถือจำเลย จึงไม่ยึดมาตรวจสอบ

คดีนี้ผมได้ทำการทำลายน้ำหนักพยานหลักฐานไปหลายประเด็น

รวมทั้งผมได้ออกหมายเรียกตัว นาย บ. ซึ่งเคยถูก ร้อยตำรวจเอก น. มาเบิกความด้วย โดย ร.ต.อ. น. ก็ยอมรับว่าก่อนจับกุมจำเลย ได้จับกุม ตัวนาย บ. มาก่อนจริง

ซึ่งก็ทำให้เกิดปัญหาว่า เมื่อนาย บ. ถูก ร้อยตำรวจเอก น. จับกุมไปก่อนหน้านี้แล้ว แล้วใครเป็นคนสวมรอย ใช้มือถือของ นาย บ. มาเสนอขายยาให้กับจำเลย

คดีนี้ศาลชั้นต้นไม่รับฟังข้อต่อสู้ของผมและพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยเป็นเวลารวมเกือบ 5 ปี หลังศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้ว ทางจำเลยบอกกับผมว่าทางผู้ใหญ่ขอเดี๋ยวให้ทนายความชุดใหม่มาช่วยยื่นอุทธรณ์ให้ ทนายท่านอื่นจึงเป็นคนยื่นอุทธรณ์คดีนี้

สุดท้ายเมื่อศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาจำเลยก็โทรมาแจ้งผมว่า ศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องและส่งคำพิพากษามาให้ดู

โดยศาลอุทธรณ์เห็นว่า 

พยานโจทก์เบิกความขัดแย้งและมีข้อพิรุธหลายประการไม่น่าเชื่อถือ และข้อเท็จจริงอาจจะเป็นไปอย่างที่จำเลยกล่าวอ้างว่ามีบุคคลอื่นสวมรอยว่าเป็น นาย บ. คุยกับจำเลยผ่าน application line และติดต่อขอเสนอขายยาเสพติดให้กับจำเลย

ถึงแม้จำเลยจะมีเจตนาจะซื้อยาเสพติดจาก นาย บ. แต่เมื่อเป็นการถูกหลอกให้กระทำความผิด แล้วจำเลยยังไม่ได้เข้าไปครอบครองยาเสพติดดังกล่าวจำเลยจึงไม่มีความผิด ศาลอุทธรณ์จึงได้พิพากษายกฟ้องและคดีถึงที่สุดแล้ว 

คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ 

อุทาหรณ์จากเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

หลักในการรับฟังพยานบุคคลของศาลนั้น ไม่ใช่เพียงแต่ว่าพยานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐทำงานไปตามหน้าที่ ไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลย  แล้วจะถือว่ามีน้ำหนักน่าเชื่อถือเสมอไป 

เพราะบางครั้งเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ท่านมองว่าน่าจะเป็นคนดีนั้น อาจจะไม่ใช่คนดีอย่างที่ท่านคาดคิด 

ความจริงแล้วหลักการรับฟังพยานบุคคลจะต้องยึดถือเอาตามความน่าเชื่อถือความสมเหตุสมผลของพยานนั้นเป็นหลัก มากกว่าการเชื่อถือความเป็นเจ้าหน้าที่หรือตัวบุคคลครับ 

Express your opinion about this article

comments

ทนายเอกสิทธิ์ ศรีสังข์

About ทนายเอกสิทธิ์ ศรีสังข์

ทนายความ/หัวหน้าสำนักงาน พิศิษฐ์ ศรีสังข์ ทนายความ ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายและรับว่าความทั่วราชอาณาจักร โทร 098-2477807 , 087-3357764 ไลน์ id - @srisunglaw (มี @ข้างหน้า)

Related Posts

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น