ข้อควรรรู้เกี่ยวกับการนพยานหลักฐานทางอิเล็กโทรนิกส์ เช่น การติดต่อผ่านทางอีเมล์ ไลน์ เฟซบุ๊คแมสเซ็นเจอร์ มาใช้เป็นพยานหลักฐานในชั้นศาล
ทุกวันนี้ในการติดต่อสื่อสารกับบุคคลอื่นๆในชีวิตประจำวัน หรือแม้กระทั่งการตกลงทำธุรกรรมต่างๆนั้น ผู้คนสมัยใหม่มักจะใช้ช่องทางสื่ออิเล็กโทรนิกส์ในการติดต่อและทำข้อตกลงอยู่เสมอ ตัวอย่างเช่นการติดต่อผ่าน อีเมล์ แอพพลิเคชั่นไลน์ หรือเฟซบุ๊คแมสเซ็นเจอร์ เป็นต้น ซึ่งมีปัญหาข้อกฎหมายที่น่าสนใจและมักจะมีข้อสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่เป็นประจำเมื่อมีคดีขึ้นสู่ศาลก็คือ หลักฐานในการสนทนาโต้ตอบ ทางสื่ออิเล็กโทรนิกส์ต่างๆเหล่านี้ สามารถใช้อ้างอิงเป็นพยานหลักฐานที่ชั้นศาลได้หรือไม่ หากสามารถอ้างอิงได้มีขั้นตอนในการอ้างอิงอย่างไร
ทั้งนี้ ตามข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง คือ พ.ร.บ. ว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ มาตรา 11 วางหลักไว้ว่า
“ห้ามมิให้ปฏิเสธการรับฟังข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์เป็นพยานหลักฐานในกระบวนการพิจารณาตามกฎหมายทั้งในคดีแพ่ง คดีอาญา หรือคดีอื่นใด เพียงเพราะเหตุว่าเป็นข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์
ในการชั่งน้ําหนักพยานหลักฐานว่าข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์จะเชื่อถือได้หรือไม่เพียงใดนั้นให้พิเคราะห์ถึงความน่าเชื่อถือของลักษณะหรือวิธีการที่ใช้สร้าง เก็บรักษา หรือสื่อสารข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ลักษณะหรือวิธีการเก็บรักษา ความครบถ้วน และไม่มีการเปลี่ยนแปลงของข้อความลักษณะ หรือวิธีการที่ใช้ในการระบุหรือแสดงตัวผู้ส่งข้อมูล รวมทั้งพฤติการณ์ที่เกี่ยวข้องทั้งปวง
ให้นําความในวรรคหนึ่งมาใช้บังคับกับสิ่งพิมพ์ออกของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ด้วย “
ซึ่งจากข้อกฎหมายดังกล่าว สามารถอธิบายได้ว่า ข้อมูลอิเล็กโทรนิกส์ ซึ่งหมายความรวมถึง ข้อมูลการติดต่อสื่อสารหรือสนทนาผ่าน อีเมล์ แอพพลิเคชั่นไลน์ เฟซบุ๊คแมสเซ็นเจอร์ หรือการพูดคุยโต้ตอบกันผ่านทางคอมเม้นต์ในกระทู้ต่างๆหรือในเว็บไซต์เฟซบุ๊คหรือเว็บไซต์อื่นๆ ย่อมสามารถใช้อ้างอิงเป็นพยานหลักฐานในการพิจารณาคดีได้ทั้งที่เป็นคดีแพ่งและคดีอาญา
โดยวิธีการนำสืบข้อมูลอิเล็กโทรนิกส์ดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานนั้น มิได้จำเป็นว่าจะต้องนำเครื่องคอมพิวเตอร์ไปทำการประมวลผลข้อมูลเพื่อแสดงข้อมูลอิเล็กโทรนิกส์ให้ศาลดูหรือต้องทำการ คัดลอก ข้อมูลอิเล็กโทรนิกส์ใส่ซีดี ส่งไปให้ศาลแต่อย่างใด เพราะตามวรรคสามของกฎหมายดังกล่าว ได้วางหลักไว้ว่า “สิ่งพิมพ์ออก” หรือ printout ของข้อมูลอิเล็กโทรนิกส์นั้น สามารถนำมาใช้อ้างอิงเป็นพยานหลักฐานในการพิจารณาได้ เช่นเดียวกับตัวข้อมูลอิเล็กโทรนิกส์ ดังนั้นทางปฎิบัติในการนำสืบข้อมูลอิเล็กโทรนิกส์นั้น ผู้นำสืบย่อมสามารถทำ ทำการพิมพ์ข้อมูลทางอิเล็กโทรนิกส์นั้นใส่กระดาษ แล้วนำเอากระดาษที่พิมพ์ข้อมูลอิเล็กโทรนิกส์นั้นไปนำสืบในชั้นศาลได้
ส่วนวิธีการนำสืบข้อมูลอิเล็กโทรนิกส์ดังกล่าวให้มีน้ำหนักที่ศาลจะรับฟังได้นั้น ฝ่ายที่นำสืบควรจะต้องถามค้านและนำสืบให้ศาลเห็นถึงความน่าเชื่อถือของพยานหลักฐานเหล่านั้นตามที่ระบุไว้ในวรรคสามของมาตราดังกล่าวด้วย กล่าวคือ ผู้นำสืบควรจะนำสืบให้เห็นว่า ข้อมูลอิเล็กโทรนิกส์นั้น มีวิธีการสร้างหรือการเกิดขึ้นที่น่าเชื่อถือ ไม่อาจถูกปลอมแปลงได้ มีวิธีการเก็บรักษาข้อมูลที่ถูกต้องครบถ้วน ไม่อาจถูกเปลี่ยนแปลงได้ภายหลังจากเกิดขึ้นมาแล้ว และสามารถระบุตัวผู้ส่งข้อความนั้นๆได้อย่างแน่นอน รวมทั้งพฤติการณ์อื่นๆที่จะทำข้อมูลอิเล็กโทรนิกส์นั้นมีความน่าเชื่อถือ
ตัวอย่างเช่น ในการนำสืบถึงข้อมูลทางอิเล็กโทรนิกส์ที่เป็นการตอบโต้กันผ่านอีเมล์ ไลน์ หรือเฟซบุ๊คแมสเซ็นเจอร์ ผู้เขียนเห็นว่า ผู้นำสืบควรต้องนำสืบและถามค้านพยานตามแนวทางเบื้องต้นดังนี้
1.ถามค้านพยานฝ่ายตรงข้ามหรือนำสืบพยานฝ่ายเราในประเด็นว่า ผู้ส่งข้อมูลที่ปรากฏในสื่ออิเล็กโทรนิกส์ต่างๆที่ง คือบุคคลที่ฝ่ายเรากล่าวอ้างว่าเป็นผู้ส่งจริงๆ ตัวอย่างเช่น เราอ้างว่า จำเลยเป็นผู้ส่งข้อความมาหาโจทก์ทางอีเมล์ หรือโปรแกรมไลน์ หรือเฟซบุ๊คแมสเซ็นเจอร์ ผู้นำสืบก็ต้องถามค้านจำเลย พยานจำเลย หรือนำสืบพยานโจทก์ที่รู้เห็นเกี่ยวข้อง ให้ได้ว่า จำเลยเป็นผู้ใช้อีเมล์นั้น ไลน์นั้น หรือเฟซบุ๊คนั้นจริง และเป็นผู้ส่งข้อความนั้นในวันเกิดเหตุจริง โดยการนำสืบให้ศาลเห็นว่าจำเลยนั้นเป็นผู้ใช้และส่งข้อมูลทางอิเล็กโทรนิกส์ดังกล่าว อาจจะนำสืบโดยการหมายเรียกข้อมูลผู้สมัครใช้อีเมล์หรือไลน์หรือเฟซบุ๊คนั้นๆมาจากผู้ให้บริการระบบข้อมูล(อีเมล์ ไลน์ เฟซบุ๊ค) เพื่อแสดงให้เห็นว่าผู้ส่งข้อมูลนั้นๆคือจำเลยซึ่งเป็นผู้สมัครใช้บริการจากเจ้าของระบบข้อมูล หรือนำสืบถึงผู้ที่รู้จักจำเลย และเคยเห็นจำเลยใช้อีเมล์หรือไลน์หรือเฟซบุ๊คดังกล่าว หรือการนำสืบถึงพฤติการณ์อื่นๆที่เกี่ยวข้องเช่นว่า ข้อมูลหรือรูปถ่ายที่ปรากฎในอีเมล์หรือไลน์หรือเฟซบุ๊คนั้นๆ เป็นข้อมูลส่วนตัวของจำเลย คนอื่นๆไม่สามารถนำเข้าข้อมูลดังกล่าวได้ เป็นต้น
2 ถามค้านและนำสืบให้ศาลเห็นว่า ข้อมูลต่างๆที่ปรากฏในสื่ออิเล็กโทรนิกส์นั้น ฝ่ายผู้อ้างไม่สามารถทำขึ้นเองได้โดยลำพัง หากปราศจากการสนทนาโต้ตอบกันจริง และผู้อ้างไม่สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อมูลที่ปรากฏนั้นได้เอง เช่น หากอ้างหลักฐานการสนทนาโต้ตอบผ่านอีเมล์ ไลน์ หรือ เฟซบุ๊คแมสเซ็นเจอร์ มาเป็นพยานต่อศาล ฝ่ายผู้อ้างก็ต้องถามค้านให้เห็นว่า ข้อมูลการสนทนาที่ปรากฏขึ้นนั้น จะไม่อาจเกิดมีขึ้นได้ หากไม่มีการสนทนาโต้ตอบกันจริง หรือเมื่อมีการสนทนาโต้ตอบกันแล้ว ฝ่ายผู้อ้างหรือบุคคลอื่นๆก็จะไม่สามารถทำการแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงข้อความดังกล่าวได้ โดยการนำสืบอาจใช้วิธีการถามค้านพยานฝ่ายตรงข้ามให้ยอมรับข้อเท็จจริงดังกล่าว หรือการหมายเรียกผู้ให้บริการระบบ หรือผู้เชี่ยวชาญ (อีเมล์ ไลน์ เฟซบุ๊ค) มาเบิกความยืนยันถึงข้อเท็จจริงว่า ข้อมูลดังกล่าวไม่อาจจะเกิดขึ้นได้หากไม่มีการสนทนาโต้ตอบกันจริง และเมื่อมีการสนทนาโต้ตอบกันแล้ว ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่จะสามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อมูลได้
3.ถามค้านและนำสืบให้เห็นว่า ข้อมูลที่พิมพ์หรือ printout ออกมานั้น ถูกต้องกับข้อมูลที่ปรากฏอยู่ในสื่ออิเล็กโทรนิกส์จริง โดยการนำสืบประเด็นนี้ เบื้องต้นผู้อ้างจะต้องเบิกความยืนยันก่อนว่า ข้อมูลที่พิมพ์หรือ printout ออกมานั้นถูกต้องกับข้อมูลที่ปรากฏในสื่ออิเล็กโทรนิกส์ โดยอธิบายถึงกระบวนการในการ printout นอก จากนั้นก็ต้องถามค้านให้ฝ่ายตรงข้ามยอมรับ หากฝ่ายตรงข้ามไม่ยอมรับ ฝ่ายผู้อ้างก็ควรจะเตรียมตัวที่จะแสดงข้อมูลทางอิเล็กโทรนิกส์ดังกล่าวเปรียบเทียบกับข้อมูลที่พิมพ์หรือ printout ออกมา ได้ทันที
กล่าวโดยสรุปแล้ว หลักฐานการติดต่อสนทนาทางสื่ออิเล็กโทรนิกส์ โดยเฉพาะโปรแกรมในการสื่อสารยอดนิยม ที่เรามักใช้กันประจำ คืออีเมล์ ไลน์ และเฟซบุ๊คแมสเซ็นเจอร์ นั้น สามารถใช้อ้างอ้างเป็นพยานหลักฐานในชั้นศาลได้ โดยการนำสืบ สามารถนำสิ่งพิมพ์ออก หรือ printout ของข้อมูลเหล่านั้นมาแสดงเป็นพยานหลักฐานต่อศาลได้ แต่ในการนำสืบนั้น ไม่ควรจะนำสืบลอยๆ แต่ควรจะต้องสืบพฤติการณ์ประกอบต่างๆที่แสดงให้เห็นว่าข้อมูลทางอิเล็กโทรนิกส์ดังกล่าวมีความน่าเชื่อ จึงจะมีน้ำหนักให้ศาลรับฟังได้ ซึ่งนับวันความจำเป็นในการอ้างอิงข้อมูลอิเล็กโทรนิกส์เหล่านี้มาเป็นพยานหลักฐานก็ยิ่งมีมากขึ้น ในคดีความหลายๆคดี ข้อมูลทางอิเล็กโทรนิกส์เหล่านี้สามารถตัดสินผลแพ้ชนะคดีกันได้เลย ดังนั้นทนายความหรือผู้ที่เกี่ยวข้อง จะต้องศึกษาหลักเกณฑ์ต่างๆเกี่ยวกับการอ้างอิงและนำสืบพยานหลักฐานที่เป็นข้อมูลทางอิเล็กโทรนิกส์เหล่านี้ไว้…
อ่านบทความที่น่าสนใจเพิ่มเติม
“การสืบพยานข้อมูลที่ซ่อนอยู่ในโทรศัพท์มือถือและคอมพิวเตอร์” โดย ดร.ธีร์รัฐ ไชยอัคราวัชร์