คู่มือปฏิบัติงานของทนายความ

ตัวอย่าง คดีฟ้องหย่า ตอน “ การประพฤติชั่ว จนเป็นเหตุฟ้องหย่า ต้องเป็นแบบไหน ” ศึกษาข้อกฎหมาย และเทคนิคการดำเนินคดี จากประสบการณ์จริง

คดีฟ้องหย่า เรื่องนี้ผมรับหน้าที่เป็นทนายความให้กับจำเลย ซึ่งเป็นฝ่ายชายที่ถูกภรรยาฟ้องหย่า โดยอ้างว่า ฝ่ายจำเลยประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1516 อนุมาตรา 1 

โดยโจทก์และจำเลยจดทะเบียนสมรสกันมาเป็นเวลาสิบกว่าปี มีบุตรด้วยกันถึง 2 คน และประกอบกิจการร้านอาหารมีชื่อเสียง 

ภายหลังโจทก์และจำเลยมีปัญหาระหองระแหงกันบ่อยครั้ง เนื่องจากภรรยาไปคบชู้กับผู้ชายคนอื่น และมีพฤติกรรมชอบเที่ยวกลางคืน

โดยโจทก์แทบไม่เคยช่วยเรื่องค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรเลย ทั้งยังชอบเที่ยวกลางคืน ใช้เงินฟุ่มเฟือย

 ต่จำเลยให้อภัยตลอดมา เพราะจำเลยยังรักโจทก์อยู่ และหวังว่าวันหนึ่งโจทก์จะคิดได้ และกลับมาอยู่กับครอบครัว

มารดาของโจทก์สมัยที่ยังมีชีวิตอยู่ก็ฝากฝังตลอดมาว่าขอให้เห็นแก่ครอบครัวอย่าให้ถึงต้องหย่ากัน 

จนช่วงหลังมารดาโจทก์ป่วยหนักไม่อาจว่ากล่าวควบคุมโจทก์ได้ โจทก์จึงย้ายออกจากบ้านตามชายชู้ไป 

ซึ่งจำเลยก็ได้เลี้ยงดูมารดาโจทก์ตลอดมา จนกระทั่งมารดาโจทก์เสียชีวิต

โจทก์จึงได้โอกาสฟ้องหย่าจำเลย เพราะมารดาที่เป็นคนขอให้หย่าให้ถึงขั้นหย่าขาดจากกันไม่อยู่แล้ว 

เหตุฟ้องหย่าที่บรรยายในคำฟ้อง

คดีนี้โจทก์บรรยายเหตุฟ้องหย่าว่า จำเลยประพฤติชั่วเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความอับอายขายหน้าอย่างร้ายแรง

กล่าวคือจำเลยจะดื่มสุรากับเพื่อนของจำเลยเป็นอาจิณ และจำเลยจะหาเรื่องทำร้ายร่างกายตบตีโจทก์ทุกครั้งเมื่อเมาสุรา 

และจะมีปากเสียงทะเลาะกับโจทก์ ว่ากล่าวโจทก์โดยใช้คำที่หยาบคาย บางครั้งก็จะนำอาวุธปืนมาข่มขู่โจทก์ 

พฤติกรรมดังกล่าวทำให้โจทก์ไม่อาจทนได้ต้องแยกห้องนอนกับจำเลยมาตลอดหลายปี ต้องย้ายตัวเองออกไปอยู่ภายนอก ทำให้โจทก์ได้รับความอับอายขายหน้าอย่างร้ายแรง 

เหตุฟ้องหย่าที่โจทก์บรรยายในฟ้อง

ข้อต่อสู้ของจำเลย

จำเลยให้การต่อสู้หลายประเด็นดังนี้

  1. ที่โจทก์อ้างว่าจำเลย ดื่มสุรากับเพื่อนเป็นอาจิณ จำเลยให้การว่าดื่มจริง แต่ดื่มเบียร์เพียงเล็กน้อยหลังเลิกงานเพื่อผ่อนคลายเท่านั้นและไม่ได้ดื่มทุกวัน และเป็นการดื่มคนเดียว ไม่มีเพื่อนฝูงมาดื่มด้วย ดื่มไม่ดึก เพราะต้องเตรียมทำงานตอนเช้า
  2. ที่โจทก์อ้างว่าจำเลยทำร้ายร่างกายโจทก์อยู่ทุกครั้งเมื่อเมาสุรา จำเลยให้การว่าไม่เคยทำร้ายร่างกายโจทก์มาก่อนในชีวิต
  3. ที่โจทก์อ้างว่าจำเลย จำเลยด่าโจทก์ด้วยถ้อยคำที่หยาบคาย จำเลยยอมรับว่าด่าจริง แต่ไม่ได้รุนแรงมาก และเป็นการด่ากันทั้งสองฝ่าย
  4. ที่โจทก์อ้างว่าจำเลยนำอาวุธปืนมาขู่โจทก์นั้น จำเลยยอมรับว่ามีอาวุธปืนจริงและพกพาอาวุธปืนในร้านเป็นบางครั้งจริง เพราะบริเวณร้านค้าของจำเลยเป็นสถานที่เปลี่ยว บริเวณบ้านเปิด และจำเลยขายของถึงช่วงกลางคืน จึงต้องมีอาวุธปืนไว้ป้องกันตัว ซึ่งเป็นปืนมีทะเบียน ปรากฏตามทะเบียนปืน แต่จำเลยไม่เคยเอาปืนมาขู่โจทก์เมื่อเมาสุราหรือเมื่อทะเลาะกัน 

จำเลยไม่ได้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ไม่ได้ทำร้ายร่างกาย ว่ากล่าวโจทก์อย่างร้ายแรง จนเป็นเหตุฟ้องหย่าตามกฎหมาย ดังนั้นการกระทำของจำเลยไม่เป็นเหตุที่สามารถฟ้องหย่าได้ 

ข้อกฎหมาย ใน คดีฟ้องหย่า คดีนี้ 

ตัวบทกฎหมาย 

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516 เหตุฟ้องหย่ามีดังต่อไปนี้

(๒) สามีหรือภริยาประพฤติชั่ว ไม่ว่าความประพฤติชั่วนั้นจะเป็นความผิดอาญาหรือไม่ ถ้าเป็นเหตุให้อีกฝ่ายหนึ่ง

(ก) ได้รับความอับอายขายหน้าอย่างร้ายแรง

(ข) ได้รับความดูถูกเกลียดชังเพราะเหตุที่คงเป็นสามีหรือภริยาของฝ่ายที่ประพฤติชั่วอยู่ต่อไป หรือ

(ค) ได้รับความเสียหายหรือเดือดร้อนเกินควร ในเมื่อเอาสภาพ ฐานะและความเป็นอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยามาคำนึงประกอบ

อีกฝ่ายหนึ่งนั้นฟ้องหย่าได้

(๓) สามีหรือภริยาทำร้าย หรือทรมานร่างกายหรือจิตใจ หรือหมิ่นประมาทหรือเหยียดหยามอีกฝ่ายหนึ่งหรือบุพการีของอีกฝ่ายหนึ่ง  ทั้งนี้ ถ้าเป็นการร้ายแรง อีกฝ่ายหนึ่งนั้นฟ้องหย่าได้

แนวคำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง

คำอธิบาย

แนวคิดของกฎหมายเกี่ยวกับการหย่าก็คือ การหย่าเป็นเรื่องสำคัญที่ทำให้ครอบครัวต้องแตกแยกดังนั้นการหย่าจึงต้องเป็นไปโดยความยินยอมของทั้งสองฝ่าย 

หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ยินยอม การฟ้องหย่าจะต้องมีเหตุตามที่กฎหมายกำหนดเท่านั้น ซึ่งฝ่ายที่ฟ้องหย่ามีภาระพิสูจน์ในศาลเชื่อว่าจำเลยได้กระทำการใดๆอันเป็นเหตุให้มีการฟ้องหย่า (ฎ.1412/2543 )

 ทั้งนี้เหตุฟ้องหย่าตามมาตรา 1516 อนุมาตรา 2  การประพฤติชั่วนั้น หมายถึง การประพฤติปฏิบัติที่ฝ่าฝืนศีลธรรมหรือจารีตประเพณี ซึ่งวิญญูชนรู้สึกได้ว่าเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง

 โดยจะเป็นความประพฤติชั่วในเรื่องใดๆก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นความผิดอาญา  เช่นเล่นการพนัน ดื่มสุรา เที่ยวผู้หญิง เกะกะเกเร เป็นต้น 

การประพฤติชั่วนั้นเป็นการกระทำครั้งเดียวโดดๆ เช่นไปเที่ยวอาบอบนวด

 หรือเป็นกระทำหลายอย่างหรือต่อเนื่องกัน เช่นเล่นพนัน หรือดื่มเหล้าทุบตีภรรยา เป็นประจำไปก็ได้

ซึ่งข้อที่สำคัญก็คือการประพฤติชั่วนั้นต้องก่อให้เกิดผลตามกฎหมาย คือ เป็นเหตุให้ อีกฝ่ายหนึ่ง อับอายขายหน้าอย่างร้ายแรง  หรือได้รับการดูถูกเกลียดชังเพราะยังเป็นสามีหรือภริยาฝ่ายนั้นต่อไป หรือได้รับความเดือดร้อนเกินควร 

ถ้าหากทำให้เกิดผลอย่างใดอย่างหนึ่งดังกล่าวแล้ว ย่อมสามารถฟ้องหย่าได้ แต่หากการประพฤติชั่วนั้นไม่เป็นเหตุให้เกิดผลดังกล่าวแล้ว ย่อมไม่สามารถฟ้องหย่าได้

 ดังนั้นข้อสำคัญในการฟ้องหย่าตามมาตรานี้คือ

  1. มีการประพฤติชั่ว
  2. การประพฤติชั่วนั้น ก่อให้เกิดผลอย่างใดอย่างหนึ่งกับอีกฝ่ายหนึ่ง คือ
  •  อับอายขายหน้าอย่างรุนแรง
  •  ได้รับการดูถูกเกลียดชังหากยังเป็นสามีภริยากันต่อไป
  •  ได้รับความเดือดร้อนเกินควร ในการเป็นสามีภริยากันต่อไป

 ซึ่งผลที่เกิดขึ้นนั้นจะต้องเป็นผลโดยตรงจากการประพฤติชั่วของอีกฝ่ายด้วย

ซึ่งคำว่าอับอายขายหน้าอย่างร้ายแรงนั้น หมายถึง ไปไหนมาไหนก็มีคนดูถูก ดูหมิ่นเหยียดหยาม ไม่มีใครยอมคบค้าสมาคมด้วย เพราะเหตุที่มาจากสามีของคนๆนี้ 

เช่นเป็นสามีกับโจรปล้นฆ่า เป็นสามีกับคนเปิดซ่อง หรือสามีไปข่มขืนเด็ก เป็นต้น 

ส่วนคำว่าได้รับการดูหมิ่นเกลียดชังก็มีความหมายคล้ายกัน คือ ไปไหนก็มีแต่คนดูหมิ่นเกลียด ชัง เช่น สามีเป็นข้าราชการรับสินบน 

ส่วนการได้รับความเดือดร้อนเกินควร เช่น สามีเมาเหล้าทุบตีภริยาทุกวัน เป็นต้น

  ทั้งนี้มาตรฐานความรู้สึกในเรื่องนี้ขึ้นอยู่กับความรู้สึกของคู่สมรสนั้นๆ (subjection) มิได้ถือตามมาตรฐานของวิญญูชน (objective) 

ฉะนั้นแม้คู่สมรสจะมีความรู้สึกไวต่อการอับอายขายหน้าในเรื่องซึ่งวิญญูชนทั่วไปเห็นว่าเป็นเรื่องปกติก็ตาม คู่สมรสฝ่ายนั้นก็มีสิทธิฟ้องหย่าได้

 แต่ในทางกลับกันถ้าวิญญูชนถือเป็นเรื่องร้ายแรง แต่คู่สมรสฝ่ายที่มีสิทธิฟ้องหย่าถือว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยย่อมฟ้องหย่าไม่ได้

 ดังนั้นการพิจารณาถึงเรื่องดังกล่าว จึงต้องดูพื้นฐานครอบครัวของคู่สมรสทั้งสองฝ่ายประกอบด้วย ว่า เป็นครอบครัวระดับฐานะอย่างไร มีความสัมพันธ์กันขนาดไหน มีหน้าตาในสังคมแค่ไหน เป็นต้น

 ทั้งนี้ต้องพิจารณาประกอบด้วยว่าเหตุที่เกิดขึ้นมีมูลเหตุจากเรื่องใด หากมูลเหตุเกิดจากอีกฝ่ายหนึ่งด้วย อีกฝ่ายหนึ่งย่อมไม่สามารถนำมาอ้างเป็นเหตุฟ้องหย่า เช่นสามีเป็นคนเจ้าชู้ จึงทำให้ตามไปที่ทำงานและมีปากเสียงโวยวายกันต่อหน้าพนักงานคนอื่นๆ สามีจะเอาเหตุนี้มาเป็นเหตุฟ้องหย่าไม่ได้เพราะตนมีส่วนผิดด้วย

 ตัวอย่างฎีกาที่ฟ้องหย่าได้ เช่น ฎ.1466/2493 , ฎ.1845/2529, ฎ.2141/2531 , ฎ.789/2495, , ฎ.1853/2519 , ฎ.1648/2524 ,  ฎ.1856/2539 , ฎ.195/2543 ,275/2539

  ตัวอย่างฎีกาที่ฟ้องหย่าไม่ได้ เช่น ฎ.1648/2524 ,ฎ.3513/2532 , 1335/2533, 96/2485,894/2493, 215/2519,4403/2539,1581/2542,2702/2546, 1581/2542, 2702/2546

 เหตุฟ้องหย่าตาม มาตรา 1516 อนุมาตรา 3 การทำร้ายร่างกายหรือหมิ่นประมาทหรือดูถูกเหยียดนั้นจะต้องเป็นการร้ายแรงจึงจะฟ้องหย่าได้ ซึ่งมีความหมายว่าร้ายแรงจนถึงขนาดที่คู่สมรสไม่สามารถอยู่กินเป็นสามีภริยากันได้ต่อไปแล้ว และสมควรให้การสมรสสิ้นสุด

ซึ่งการกระทำใดจะถือว่าเป็นการร้ายแรงนั้น ต้องพิจารณาเป็นกรณีไปโดยถือมาตรฐานของคนธรรมดาเป็นหลักเกณฑ์

เช่นการตบหน้าไป 1 ที ถึงแม้จะทำให้อีกฝ่ายโกรธแค้นแค่ไหน ตามตามมาตรฐานของวิญญูชนแล้วย่อมไม่เป็นการร้ายแรง 

แต่หากได้ทำร้ายจนได้รับอันตรายสาหัส เช่นต้องนอนพักโรงพยาบาลหลายวัน พิการ ย่อมถือว่าร้ายแรง 

ซึ่งหลักโดยสังเขปในการพิจารณาว่าเป็นเรื่องร้ายแรงหรือไม่ ต้องคำนึงถึง พฤติการณ์แห่งการกระทำว่าฝ่ายใดเป็นผู้ก่อเหตุ มี เหตุที่เกิดขึ้นมีมูลเหตุอย่างไร ขนาดความร้ายแรงของบาดแผลและการรักษาตัว เป็นการกระทำภายในครอบครัวหรือต่อหน้าสาธารณะชน  

ตัวอย่างฎีกาที่ถือว่าร้ายแรง เช่น ฎ.995/2495 ฎ.1398/2520,ฎ.1078/2525 2085/2537 437/2515

ตัวอย่างฎีกาที่ถือว่าไม่ร้ายแรง เช่น ฎ.2092/2519 ,2506/2523,1648/2524,2943/2524,215/2519  ,668/2501 ,329/2511 ,2506/2523 ,739/2525 ,5616/2538,3263/2548

 เหตุฟ้องหย่าตามมาตรา 1516 การกระทำอันเป็นปฎิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยาอย่างร้ายแรงนั้น หมายถึง การกระทำที่แสดงให้เห็นถึงการที่ไม่สมควรต่อการเป็นสามีภริยากันต่อไป การกระทำที่เป็นอุปสรรคขัดขวางต่อความสัมพันธ์ในการเป็นสามีภริยา  สามีไปเที่ยวผู้หญิงบ่อยๆ สามีเป็นเกย์ เป็นต้นตัวอย่างคำพิพากษา เช่น 2574/2520 ,769/2525 ,1637/2520 ,1402/2500 ,4065/2532, 1932/2536, 3494/2547

สรุปข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย

  1. ในส่วนที่โจทก์อ้างว่าจำเลยดื่มสุราเป็นประจำนั้น โจทก์มีหน้าที่นำสืบ และจะต้องสืบว่าเป็นการดื่มสุราขั้นหนักจริงๆ เช่นดื่มแล้วไม่เอางานเอาการ ดื่มจนนำเงินไปใช้อย่างสุรุ่ยสุร่าย จึงจะถือเป็นเหตุฟ้องหย่าได้
  2. ในส่วนที่โจทก์อ้างว่าจำเลยทำร้ายร่างกายนั้น โจทก์จะต้องนำสืบให้ได้ว่ามีการทำร้ายร่างกายจริง และเป็นการทำร้ายร่างกายอย่างร้ายแรงด้วย
  3. ในส่วนที่อ้างว่าจำเลยด่านั้น โจทก์จะต้องนำสืบให้ได้ว่า จำเลยด่าว่าอย่างร้ายแรง และมิใช่การด่ากันทั้งสองฝ่าย
  4. ในส่วนที่อ้างว่าโจทก์อ้างว่าจำเลยเอาปืนมาข่มขู่นั้น โจทก์จะต้องนำสืบให้ได้ เอามาข่มขู่จริงๆ ไม่ใช่โจทก์กลัวไปเอง
  5. ในส่วนที่ว่าทำให้อับอายขายหน้านั้น ต้องนำสืบได้ว่าเรื่องดังกล่าวมีคนทั่วไปรู้เห็นด้วย และการกระทำจะต้องร้ายแรงถึงขั้น
  6. ในส่วนที่ว่าจำเลยออกจากบ้านไปนั้น จะนำมาเป็นเหตุฟ้องหย่าไม่ได้ เพราะเป็นการกระทำของจำเลยเอง

การนำสืบพยานในคดี

คดีนี้ฝ่ายโจทก์ได้นำตัวบุตรทั้งสองคนมาเบิกความพยานกล่าวอ้างข้อเท็จจริง ไปตามทำนองคำฟ้องของโจทก์ 

โดยเอาบุตรทั้งสองคนมาเบิกความทำนองว่าจำเลยมีพฤติกรรมชอบกินเหล้าและทะเลาะทำร้ายโจทก์

สาเหตุที่บุตรทั้งสองคนมาเบิกความเข้าข้างโจทก์นั้นเนื่องจากในส่วนของบุตรสาว มีความขัดแย้งกับบิดา

เนื่องจากบุตรสาวซึ่งยังเรียนอยู่ระดับชั้นปวช ได้ไปคบหากับกุ๊ยคนหนึ่ง และได้ไปอยู่กินฉันสามีภรรยาและถ่ายรูปอันไม่สมควรลงใน facebook 

ทำให้ตัวจำเลยไม่พอใจและต่อว่า บุตรสาวและคนรักของบุตรสาวจนถึงขั้นเกือบทำร้ายกัน

แต่ตัวโจทก์นั้นตามใจบุตรสาวยินยอมให้ บุตรสาวคบแฟนหนุ่มได้อย่างออกหน้าออกตาทั้งที่ยังไม่ได้สมรสกัน 

ประกอบกับบุตรสาวไม่พอใจที่บิดาจำเลยไปต่อว่าแฟนของตน  บุตรสาวจึงมีใจเอนเอียงไปทางแม่และยินยอมมาเบิกความช่วยแม่ 

แฟนบุตรสาว ลงรูปไม่สมควรในเฟสบุ๊กทำให้จำเลยไม่พอใจ จนเกิดมีปัญหาทะเลาะวิวาทกันบุตรสาว

ส่วนผู้ชายนั้นขณะนั้นยังมีอายุเพียง 17 ปี ชอบขี่จักรยานยนต์บิ๊กไบค์  และกินเหล้าเวลากลางคืน ซึ่งตัวจำเลยซึ่งเป็นบิดาห้ามเพราะอันตราย 

ฝ่ายโจทก์เสนอขอแลกเปลี่ยนกับบุตรชายว่าถ้าหากเบิกความเป็นพยานในคดีนี้ก็จะซื้อบิ๊กไบค์ในราคาเกือบ 300,000 บาท

ทำให้บุตรชายยินยอมเบิกความเป็นพยานให้กับฝ่ายโจทก์

ฝ่ายโจทก์ติดสินบนบุตรชายด้วยบิ๊กไบค์ เพื่อให้มาเบิกความใส่ความพ่อ

ดังนั้นในการถามค้านพยานทั้งสองปากนี้ ผมจะได้ถามค้านทำลายน้ำหนักถึงเรื่องสาเหตุที่พยานทั้งสองปากนี้ยอมมาเบิกความใส่ร้ายบิดา เพราะมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยและได้รับอามิสสินจ้างจากฝ่ายโจทก์ 

นอกจากนี้ผมยังได้ถามค้านประเด็นว่า พยานทั้งสองปากนี้อ้างว่าเห็นจำเลยด่าว่าโจทก์หรือทำร้ายโจทก์ เป็นไปในลักษณะต่อเถียงทำร้ายซึ่งกันและกันไม่ใช่เป็นฝ่ายจำเลยด่าว่าหรือทำร้ายแต่เพียงฝ่ายเดียว

นอกจากนี้ที่อ้างว่าเป็นการทำร้ายก็เป็นเพียงการผลักกันไปผลักกันมาเท่านั้น 

ส่วนพยานอื่นที่โจทก์นำสืบมาล้วนแต่เป็นบุคคลภายนอกที่เป็นพยานบอกเล่า 

ผลคำพิพากษา

คดีนี้ศาลพิพากษายกฟ้องเนื่องจากเหตุผลดังต่อไปนี้ 

1.ข้ออ้างที่โจทก์อ้างแนะนำสืบว่าจำเลยดื่มสุราเป็นอาจิณ เมื่อจำเลยเมาสุราแล้วจะด่าด้วยถ้อยคำหยาบคายและทำร้ายร่างกายโจทก์ล้วนแต่เป็นเพียงคำกล่าวอ้างลอยๆปราศจากพยานหลักฐานสนับสนุน 

2.จากการถามค้านของทนายความจำเลยว่าในการทะเลาะวิวาทกันของโจทก์และจำเลย จำเลยเพียงแต่ใช้มือผลักไม่ถึงขั้นชกต่อยทุบตีและโจทก์ก็ได้ต่อสู้กับจำเลยด้วย

3.จากการถามค้านของทนายความจำเลยปรากฏว่าในการด่าทอกันนั้นโจทก์ก็โต้เถียงและด่าทอจำเลยกลับ ซึ่งพยานของโจทก์เองก็เบิกความตอบคำถามค้านทนายจำเลยไปในทำนองเดียวกันว่าทั้งสองฝ่ายเมื่อทะเลาะกันจะต้องทำร้ายร่างกายซึ่งกันและกันและด่าทอกันทั้งคู่ 

4.พฤติการณ์ในคดีนี้จึงเป็นการทะเลาะเบาะแว้งกันธรรมดาฉันสามีภรรยาหาได้เป็นการประพฤติชั่ว ตามที่โจทก์บรรยายมาในฟ้อง 

5.พฤติกรรมทางนำสืบของจำเลย ปรากฏว่าโจทก์มีการประพฤติไม่สมควรเช่นแสดงข้อความแสดงความรักโดยเปิดเผยกับชายอื่นตัดพ้อทำนองชู้สาวกับชายอื่น

 หรือการสนับสนุนให้บุตรสาวมีคนรักก่อนที่จะศึกษาเล่าเรียนจบถึงขนาด นำชายคนรักมาอาศัยอยู่ที่บ้านโดยไม่ได้มีการสมรสกันให้ถูกต้องตามประเพณี อันเป็นการปฏิบัติหน้าที่ของบรรดาอย่างบกพร่องและไม่สมควร 

6.พยานอื่นของโจทก์ล้วนแต่เป็นพยานบอกเล่าที่รับฟังไม่ได้ 

ซึ่งคดีนี้โจทก์ไม่ได้ยื่นอุทธรณ์และคดีถึงที่สุดแล้ว 

สรุป

ข้อคิดที่ได้จากคดีเรื่องนี้ก็คือ ในการต่อสู้คดีนั้นหากเราวางรูปคดีไว้อย่างหนักแน่น ชัดเจน และถามค้านพยานไปตามข้อต่อสู้ที่เตรียมมา

ถึงแม้ฝ่ายตรงข้ามจะนำพยานอันเป็นเท็จมาเบิกความก็ตาม แต่หากเรารู้จักวิธีการถามค้านทำลายน้ำหนัก และถามค้านให้พยานฝ่ายตรงข้ามเบิกความให้เป็นประโยชน์กับฝ่ายเรา เราก็สามารถชนะคดีได้ไม่ยากครับ

 

Express your opinion about this article

comments

ทนายเอกสิทธิ์ ศรีสังข์

About ทนายเอกสิทธิ์ ศรีสังข์

ทนายความ/หัวหน้าสำนักงาน พิศิษฐ์ ศรีสังข์ ทนายความ ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายและรับว่าความทั่วราชอาณาจักร โทร 098-2477807 , 087-3357764 ไลน์ id - @srisunglaw (มี @ข้างหน้า)

Related Posts

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น