ในกระบวนการพิจารณาคดีของศาล พยานหลักฐานเป็นสิ่งสำคัญที่มีผลต่อการตัดสินคดี การนำพยานเข้าให้การหรือใช้เอกสารหลักฐานในคดีเป็นสิ่งที่ทนายความต้องเตรียมความพร้อมอย่างดี
โดยเฉพาะ “พยานแวดล้อม” ซึ่งเป็นพยานที่ไม่ได้เห็นเหตุการณ์โดยตรง แต่ข้อมูลที่ให้สามารถชี้นำหรือสร้างข้อสันนิษฐานถึงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นได้
บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับพยานแวดล้อม ข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และเทคนิคในการนำสืบและถามค้าน
พยานแวดล้อมคืออะไร?
“พยานแวดล้อม” ซึ่งภาษาอังกฤษใช้คำว่า “circumstantail evidence”
ซึ่งตามกฎหมายเก่าของไทย เคยเรียกโดยใช้คำว่า พยานประพฤติเหตุห้อมล้อมกรณี พยานพฤติเหตุ พยานพฤติเหตุแวดล้อมกรณี
ดังนั้นคำเหล่านี้จึงเป็นคำเดียวกัน และสื่อความหมายถึงพยานประเภทเดียวกัน
- พยานแวดล้อม
- พยานแวดล้อมกรณี
- พยานประพฤติเหตุห้อมล้อมกรณี
- พยานพฤติเหตุ
- พยานพฤติเหตุแวดล้อมกรณี
- circumstantail evidence
การจะเข้าใจคำว่าพยานแวดล้อมให้ได้ชัดเจนนั้น จะต้องทำความเข้าใจถึงพยานอีกประเภทหนึ่งคือ “พยานโดยตรง” (derect evidence)
“พยานโดยตรง” (direct evidence)
*ความหมาย: คือ พยานหลักฐานที่รู้เห็นเหตุการณ์โดยตรง สามารถยืนยันข้อเท็จจริงได้ทันทีโดยไม่ต้องอาศัยการตีความหรืออนุมาน
ตัวอย่าง:
* พยานบุคคลที่เห็นเหตุการณ์ขณะเกิดเหตุ เช่น เห็นจำเลยกำลังทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย
* กล้องวงจรปิดที่บันทึกภาพเหตุการณ์ขณะเกิดเหตุได้อย่างชัดเจน
* ข้อดี: มีน้ำหนักในการพิสูจน์คดีสูง สามารถบ่งชี้ข้อเท็จจริงได้โดยตรง
* ข้อเสีย: อาจหาได้ยากในบางคดี
“พยานแวดล้อม” (circumstantail evidence )
พยานแวดล้อมเป็นพยานที่ไม่ได้เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยตรง หรือยืนยันข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นโดยตรงได้ดังเช่นพยานโดยตรง
แต่เป็นพยานที่สามารถจะทำให้เชื่อ หรืออนุมานได้ว่าน่าจะมี หรือน่าจะไม่มีเหตุการณ์ตามที่จะกล่าวอ้างเกิดขึ้นจริงๆ
เป็นพยานเกี่ยวกับเหตุการณ์ เรื่องราวหรือข้อเท็จจริงข้างเคียงหรือรอบๆข้อเท็จจริงซึ่งเป็นประเด็นแห่งคดีโดยตรง
เมื่อฟังประกอบพยานอื่นๆแล้วได้แสดงเหตุผลเป็นลูกโซ่ให้เห็นว่าจำเลยได้กระทำการเช่นนั้นจริงๆหรือไม่
* ตัวอย่าง:
* พยานบุคคลที่เห็นจำเลยถืออาวุธมีดวิ่งออกมาจากที่เกิดเหตุหลังเกิดเหตุไม่นาน
* ลายนิ้วมือ หรือรอยเท้าของจำเลยที่พบในที่เกิดเหตุ
* ข้อดี: หาได้ง่ายกว่าพยานโดยตรง สามารถใช้สนับสนุนพยานโดยตรงหรือใช้ในกรณีที่ไม่มีพยานโดยตรงได้
* ข้อเสีย: มีน้ำหนักในการพิสูจน์คดีน้อยกว่าพยานโดยตรง ต้องอาศัยการตีความและอนุมานประกอบ
ศาลฎีกาเคยอธิบายเกี่ยวกับพยานแวดล้อมไว้ดังนี้
ฎ.5462/2539 พยานแวดล้อมกรณีคือพยานเหตุผลที่จะทำให้ศาลเชื่อว่ามีข้อเท็จจริงบางอย่างอยู่หรือไม่ซึ่งจะต้องมีการใช้เหตุผลอนุมานเอาอีกต่อหนึ่ง
พยานแวดล้อมมีได้หลายแบบ
ทั้งพยานบุคคล พยานวัตถุ หรือพยานหลักฐานทางอิเล็กโทรนิกส์
ที่มักจะพบบ่อยในคดีอาญา มีดังนี้
- พยานบุคคล
* ผู้ที่เห็นผู้ต้องสงสัยอยู่ใกล้ที่เกิดเหตุ: เช่น เพื่อนบ้านเห็นผู้ต้องสงสัยเดินวนเวียนอยู่ใกล้บ้านผู้เสียหายก่อนเกิดเหตุลักทรัพย์
* ผู้ที่ได้ยินเสียงผิดปกติ: เช่น เพื่อนบ้านได้ยินเสียงทะเลาะวิวาทดังมาจากบ้านที่เกิดเหตุฆาตกรรม
* ผู้พบเห็นพฤติกรรมผิดปกติของผู้ต้องสงสัย: เช่น เพื่อนร่วมงานเห็นผู้ต้องสงสัยมีท่าทางลุกลี้ลุกลนหลังเกิดเหตุปล้นทรัพย์
* ผู้ที่ได้รับฟังคำบอกเล่าจากผู้ต้องสงสัย: เช่น เพื่อนสนิทของผู้ต้องสงสัยได้ฟังผู้ต้องสงสัยเล่าถึงแผนการก่อเหตุ
- วัตถุพยาน
* ลายนิ้วมือ: พบลายนิ้วมือของผู้ต้องสงสัยในที่เกิดเหตุ หรือบนอาวุธที่ใช้ก่อเหตุ
* รอยเท้า: พบรอยเท้าของผู้ต้องสงสัยในบริเวณที่เกิดเหตุ
* ดีเอ็นเอ: พบดีเอ็นเอของผู้ต้องสงสัยในที่เกิดเหตุ เช่น เส้นผม คราบเลือด คราบอสุจิ
* อาวุธ: พบอาวุธที่ใช้ก่อเหตุ ซึ่งอาจมีร่องรอยการใช้งานหรือร่องรอยที่เชื่อมโยงกับผู้ต้องสงสัย
* เสื้อผ้า: พบเสื้อผ้าของผู้ต้องสงสัยในที่เกิดเหตุ หรือพบเสื้อผ้าที่มีร่องรอยการต่อสู้ คราบเลือด หรือร่องรอยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับคดี
- หลักฐานทางอิเล็กทรอนิกส์
* กล้องวงจรปิด: บันทึกภาพผู้ต้องสงสัยอยู่ใกล้ที่เกิดเหตุ หรือบันทึกภาพเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับคดี
* ข้อมูลการใช้โทรศัพท์: ข้อมูลการโทร ข้อความ ตำแหน่ง และข้อมูลอื่นๆ ในโทรศัพท์ของผู้ต้องสงสัยที่อาจเชื่อมโยงกับคดี
* ข้อมูลในคอมพิวเตอร์: ประวัติการใช้งานอินเทอร์เน็ต ไฟล์ อีเมล และข้อมูลอื่นๆ ในคอมพิวเตอร์ของผู้ต้องสงสัยที่อาจเกี่ยวข้องกับคดี
* ข้อมูลจากโซเชียลมีเดีย: โพสต์ ข้อความ รูปภาพ และข้อมูลอื่นๆ ในโซเชียลมีเดียของผู้ต้องสงสัยที่อาจเชื่อมโยงกับคดี
ตัวอย่างการนำพยานแวดล้อมมาเชื่อมโยงกับการกระทำผิด
หลักๆ แล้ว พยานแวดล้อมที่มักนำมาใช้เพื่อเชื่อมโยงจำเลยกับการกระทำความผิด มีดังนี้
1.พยานแวดล้อมที่แสดงถึงแรงจูงใจ (Motive)
* ความสัมพันธ์ระหว่างจำเลยกับผู้เสียหาย: เช่น มีประวัติทะเลาะเบาะแว้ง มีความขัดแย้งทางธุรกิจ หรือมีเรื่องชู้สาว ซึ่งอาจเป็นแรงจูงใจในการก่อเหตุ
* ผลประโยชน์ที่จำเลยจะได้รับ: เช่น การได้รับมรดก การได้ครอบครองทรัพย์สิน หรือการกำจัดคู่แข่ง ซึ่งอาจเป็นแรงจูงใจในการก่อเหตุ
* พฤติกรรมของจำเลยก่อนและหลังเกิดเหตุ: เช่น การแสดงความโกรธแค้น การข่มขู่ การวางแผน หรือการหลบหนี ซึ่งอาจบ่งชี้ถึงแรงจูงใจในการก่อเหตุ
2.พยานแวดล้อมที่แสดงถึงโอกาส (Opportunity)
* การอยู่ในที่เกิดเหตุหรือใกล้เคียงในช่วงเวลาเกิดเหตุ: เช่น พยานบุคคลเห็นจำเลยอยู่ใกล้ที่เกิดเหตุ หรือกล้องวงจรปิดบันทึกภาพจำเลยอยู่ในบริเวณใกล้เคียง
* ความสามารถในการเข้าถึงสถานที่เกิดเหตุหรือผู้เสียหาย: เช่น จำเลยมีกุญแจ รู้รหัสผ่าน หรือมีความคุ้นเคยกับสถานที่เกิดเหตุ
* การมีเครื่องมือหรืออุปกรณ์ที่ใช้ในการก่อเหตุ: เช่น จำเลยมีอาวุธ มีเครื่องมืองัดแงะ หรือมีอุปกรณ์ที่ใช้ในการก่อเหตุ
3.พยานแวดล้อมที่แสดงถึงพฤติกรรมที่สอดคล้องกับการกระทำความผิด (Means)
* ร่องรอยการต่อสู้: เช่น รอยขีดข่วน รอยกัด รอยฟกช้ำ หรือบาดแผล ที่พบในตัวจำเลยหรือผู้เสียหาย
* วัตถุพยานที่เชื่อมโยงจำเลยกับที่เกิดเหตุ: เช่น ลายนิ้วมือ รอยเท้า เส้นผม คราบเลือด หรืออาวุธ ที่พบในที่เกิดเหตุ
* พฤติกรรมของจำเลยหลังเกิดเหตุ: เช่น การทำลายหลักฐาน การปิดบังความจริง การให้การเท็จ หรือการหลบหนี ซึ่งอาจบ่งชี้ถึงความพยายามในการปกปิดความผิด
4.พยานแวดล้อมที่แสดงถึงความเชื่อมโยงอื่นๆ
* คำให้การของพยานบุคคลที่น่าเชื่อถือ: เช่น พยานบุคคลที่เห็นจำเลยใกล้ชิดกับผู้เสียหายก่อนเกิดเหตุ หรือพยานบุคคลที่ได้ยินจำเลยพูดถึงแผนการก่อเหตุ
* หลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์: เช่น ผลการตรวจดีเอ็นเอ ผลการตรวจลายนิ้วมือ หรือผลการตรวจสารเสพติด
* หลักฐานทางอิเล็กทรอนิกส์: เช่น ข้อมูลการใช้โทรศัพท์ ข้อมูลในคอมพิวเตอร์ หรือข้อมูลจากโซเชียลมีเดีย ที่เชื่อมโยงจำเลยกับการกระทำความผิด
พยานแวดล้อมสามารถรับฟังได้ไหม
ตามหลักกฎหมายไทยไม่ได้มีการวางหลักไว้เกี่ยวกับพยานแวดล้อมโดยตรง ไม่เหมือนกับพยานบอกเล่า พยานซัดทอด ที่กฎหมายวางหลักเกณฑ์ในการรับฟังไว้ต่างหาก
โดยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 226 ได้วางหลักไว้ว่า พยานบุคคลพยานเอกสารหรือพยานวัตถุที่น่าจะพิสูจน์ได้ว่าจำเลยมีความผิดหรือบริสุทธิ์ย่อมสามารถอ้างเป็นพยานหลักฐานได้
ดังนั้นพยานแวดล้อมถึงแม้จะไม่สามารถพิสูจน์ข้อเท็จจริงในประเด็นโดยตรงได้ เหมือนเช่นพยานโดยตรง แต่ถ้าน่าจะทำให้พิสูจน์ได้ว่าจำเลยมีความผิดหรือบริสุทธิ์ ย่อมเป็นพยานหลักฐานที่รับฟังได้
ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 121/2530
แม้คดีไม่มีประจักษ์พยาน ศาลก็รับฟังพยานแวดล้อมกรณีหลังเกิดเหตุของโจทก์ ประกอบกับคำให้การรับสารภาพชั้นสอบสวนของจำเลยลงโทษจำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 623/2535
ในการลงโทษผู้กระทำผิดทางอาญานั้น นอกจากศาลรับฟังพยานหลักฐานจากประจักษ์พยานแล้ว พยานแวดล้อมกรณีหรือพยานพฤติเหตุที่บ่งชี้ว่า จำเลยกระทำผิดศาลก็รับฟังได้ด้วย ศาลจึงรับฟังพยานแวดล้อมกรณี และคำรับของจำเลยกับของผู้ร่วมกระทำผิดประกอบพยานอื่นได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 305/2508
ที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานรู้เห็นว่าจำเลยปลอมเอกสารศาลฎีกาเห็นว่า การปลอมเอกสารซึ่งอยู่ในความยึดถือของจำเลยย่อมมีโอกาสทำได้ในที่ลับเป็นการยากที่จะมีประจักษ์พยาน โจทก์จึงมีแต่พยานประพฤติเหตุบ่งว่าจำเลยเป็นผู้ปลอม ไม่ผิดตัว ย่อมฟังลงโทษจำเลยได้
การชั่งน้ำหนักพยานแวดล้อม
ถึงแม้ว่าพยานแวดล้อมเป็นพยานที่สามารถรับฟังได้ แต่การชั่งน้ำหนักพยานแวดล้อม ก็เป็นสิ่งที่จะต้องรับฟังโดยระมัดระวัง เพราะเป็นการรับฟังโดยอาศัยจากการอนุมานข้อเท็จจริง
การชั่งน้ำหนักพยานแวดล้อมจะต้องทำ 2 ขั้นตอน
- ขั้นตอนแรกคือต้องวินิจฉัยก่อนว่าพยานแวดล้อมนั้นมีความน่าเชื่อถือหรือไม่
- ข้อเท็จจริงที่ได้จากพยานแวดล้อมนั้น สามารถนำอนุมานได้อย่างไร
การใช้พยานแวดล้อมเพื่อลงโทษจำเลย ต้องอาศัยดุลพินิจของศาล โดยศาลจะพิจารณาพยานหลักฐานทั้งหมดประกอบกัน รวมถึงพยานแวดล้อมต่างๆ เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงที่ครบถ้วนและเป็นธรรม
พยานแวดล้อมเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอที่จะตัดสินคดีได้ ต้องใช้ประกอบกับพยานหลักฐานอื่นๆ โดยเฉพาะพยานโดยตรง เพื่อให้ศาลเชื่อมั่นว่าจำเลยกระทำความผิดจริง
ตัวอย่างคดีที่น่าสนใจ
ยกตัวอย่าง
คดีฆ่าหั่นศพแพทย์หญิงผัสพร บุญเกษมสันติ เป็นคดีสะเทือนขวัญที่เกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2544 ผู้ก่อเหตุคือ นายแพทย์วิสุทธิ์ บุญเกษมสันติ สามีของแพทย์หญิงผัสพร ซึ่งเป็นแพทย์เช่นเดียวกัน
สรุปเหตุการณ์
แพทย์หญิงผัสพรหายตัวไปจากบ้านพัก และต่อมาพบชิ้นส่วนศพของเธอถูกหั่นแยกชิ้นส่วน บรรจุในถุงพลาสติกและทิ้งไว้ในบ่อพักน้ำเสียของอาคารวิทยนิเวศน์ ซึ่งเป็นที่ทำงานของนายแพทย์วิสุทธิ์
พยานแวดล้อมที่ใช้ในการดำเนินคดี
นพ.วิสุทธิ์ มีพฤติกรรมน่าสงสัยหลายอย่างที่เชื่อมโยงกับการหายตัวไปของ พญ.ผัสพร ซึ่งเป็นภรรยาที่กำลังมีปัญหาหย่าร้างกันอยู่ มีพยานหลักฐานแวดล้อมหลายชิ้นที่บ่งชี้ว่า นพ.วิสุทธิ์ อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของ พญ.ผัสพร เช่น
- มูลเหตุจูงใจ: ทั้งคู่มีปัญหาหย่าร้างและเคยมีเรื่องฟ้องร้องกันมาก่อน
- พฤติกรรมมีพิรุธ: ภาพจากกล้องวงจรปิดแสดงให้เห็นว่า นพ.วิสุทธิ์ ประคอง พญ.ผัสพร ออกจากร้านอาหาร ทั้งที่ปกติแล้ว พญ.ผัสพร จะไม่มาเจอ นพ.วิสุทธิ์ สองต่อสองเพราะกลัวถูกทำร้าย
- คำให้การที่ไม่สอดคล้อง: นพ.วิสุทธิ์ อ้างว่า พญ.ผัสพร เมาน้ำพันช์ ทั้งที่ร้านอาหารไม่ได้ขายแอลกอฮอล์
- การสร้างหลักฐานเท็จ: นพ.วิสุทธิ์ ปลอมจดหมายลาออกของ พญ.ผัสพร และใช้เพจเจอร์ส่งข้อความหลอก พญ.ผัสพร ว่ามีคนอื่นมาด้วย
- ยา Dormicum: นพ.วิสุทธิ์ สั่งซื้อยานอนหลับ Dormicum ก่อน พญ.ผัสพร จะหายตัวไป โดยอ้างว่าให้แม่ แต่แม่ของ นพ.วิสุทธิ์ ไม่ได้มีอาการป่วยที่ต้องใช้ยานี้
- หลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์: พบคราบเลือด ชิ้นเนื้อ และกระดูกมนุษย์ที่มี DNA ตรงกับ พญ.ผัสพร ในห้องพักและโรงแรมที่ นพ.วิสุทธิ์ พักอาศัย
- การซื้อของเพื่อปกปิดร่องรอย: นพ.วิสุทธิ์ ซื้อถุงขยะดับกลิ่นและกระดาษชำระจำนวนมากหลังจาก พญ.ผัสพร หายตัวไป
แม้จะไม่พบศพของ พญ.ผัสพร แต่พยานหลักฐานแวดล้อมต่างๆ เหล่านี้มีน้ำหนักเพียงพอที่จะทำให้ศาลเชื่อได้ว่า นพ.วิสุทธิ์ เป็นผู้ลงมือฆ่าหั่นศพ พญ.ผัสพร จริง
ผลการดำเนินคดี
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาประหารชีวิตนายแพทย์วิสุทธิ์ แต่ต่อมาศาลฎีกาพิพากษาลดโทษเหลือจำคุกตลอดชีวิต
คดีนี้เป็นคดีที่สะเทือนขวัญและเป็นที่สนใจของสังคม เนื่องจากผู้ก่อเหตุและผู้เสียชีวิตเป็นแพทย์ทั้งคู่ คดีนี้ยังแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของพยานแวดล้อมในการดำเนินคดี ซึ่งช่วยให้สามารถนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษได้ แม้จะไม่มีพยานหลักฐานโดยตรงก็ตาม
ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง
คำพิพากษาที่ศาลรับฟังแล้วลงโทษจำเลย
แม้จะไม่มีพยานหลักฐานโดยตรง แต่หากพยานแวดล้อมมีน้ำหนักเพียงพอที่จะทำให้ศาลเชื่อได้อย่างไม่มีข้อสงสัยว่าจำเลยเป็นผู้กระทำความผิด ศาลก็สามารถพิพากษาลงโทษจำเลยได้ โดยไม่จำเป็นต้องมีพยานหลักฐานโดยตรง
ฎ.3472/2526 เป็นคดีข่มขืน
ขณะเกิดเหตุไม่มีคนเห็นเหตุการณ์ จะฟังข้อเท็จจริงด้วยว่าก่อนเกิดเหตุผู้ตายเนี่ยไปหาจำเลย ซึ่งพบศพผู้ตายถูกข่มขืนกระทำชำเรา พบขนอวัยวะเพศที่บริเวณอวัยวะเพศของผู้เสียหาย ซึ่งเปรียบเทียบแล้วเป็นของจำเลย พบรอยเท้าของจำเลย อยู่ในบริเวณที่เกิดเหตุ และมีข้อเท็จจริงปรากฏว่าจำเลยพยายามกลบรอยเท้า ข้อเท็จจริงทั้งหมดรับฟังลงโทษจำเลยได้ว่าเป็นผู้ก่อเหตุ
ฎ.90/2531 เป็นคดีฆ่า
ขณะถูกยิง ไม่มีคนเห็นคนยิง แต่ผู้ตายพูดชื่อจำเลยขึ้นมา มีพฤติการณ์ชี้ให้เห็นว่าก่อนเกิดเหตุจำเลยไปยืมปืนจากผู้อื่น แล้วก็เอาไปคืนหลังจากเหตุการณ์ยิงกันจบลง อีกทั้งก่อนเกิดเหตุ จำเลยได้พูดกับคนอื่นว่าจะฆ่าผู้ตาย ข้อเท็จจริงทั้งหมดฟังโดยรวมประกอบกับพยานอื่นแล้ว เพียงพอที่จะรับฟังลงโทษจำเลยได้
ฎ.1545/2535 เป็นคดีลักทรัพย์
การที่จำเลยเก็บกระเป๋าเงินของโจทก์ร่วมได้แล้วแอบเปิดดูในลักษณะปกปิดซ่อนเร้น เมื่อถูกถามก็ปฏิเสธว่าเป็นกระเป๋าเปล่าทั้ง ๆ ที่ในกระเป๋าเงินดังกล่าวมีเงินอยู่ รวมตลอดถึงการที่จำเลยแอบเปิดซิป กระเป๋าแล้วมีอาการหน้าตื่นและเดินหลบเลี้ยวอ้อมไปข้างรถโดยไม่ไปขนปูนตามที่มีผู้ว่าจ้างนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นข้อพิรุธที่ส่อแสดงความไม่สุจริตของจำเลยทั้งสิ้น ซึ่งเมื่อพิจารณาประกอบคำเบิกความของโจทก์ร่วมที่ว่า กระเป๋าเงินที่จำเลยคืนให้นั้นซิป ถูกเปิดแย้มไว้ขณะตรวจพบว่าสร้อยคอทองคำหายไปจำเลยก็ออกจากที่เกิดเหตุไปแล้ว จึงเชื่อว่า จำเลยได้เอาสร้อยคอทองคำของโจทก์ร่วมไปจริง และเหตุที่จำเลยต้องคืนกระเป๋าเงินและเงินในกระเป๋าให้แก่โจทก์ร่วมก็เพราะว่า ขณะจำเลยเก็บกระเป๋าเงินของโจทก์ร่วมได้นั้น มี ส. ร่วมรู้เห็นอยู่ด้วย การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานลักทรัพย์.
พยานแวดล้อมในกรณีที่จำเลยให้การรับสารภาพ
ในกรณีที่ไม่มีไปจับพยานมีแต่พยานแวดล้อม แต่จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนและปรากฏว่ารับสารภาพสอดคล้องต้องกันกับพยานแวดล้อม ศาลก็มักจะรับฟังคำให้การพยานแวดล้อม คำรับสารภาพในชั้นสอบสวนลงโทษจำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 868/2531
โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานเห็นจำเลยเป็นคนร้ายที่ใช้อาวุธปืนเล็กกลยิงกราดผู้เสียหายและผู้ตายในโรงภาพยนตร์ แต่มีพยานแวดล้อมโดยผู้เสียหายคนหนึ่งเห็นจำเลยอยู่ในที่เกิดเหตุในเวลาใกล้เคียงกับขณะเกิดเหตุ สอดคล้องกับคำรับสารภาพชั้นสอบสวนของจำเลย จำเลยรับสารภาพทั้งชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนต่อหน้านายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ทั้งยังนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพและขอขมาต่อผู้เสียหายและบิดามารดาของผู้ตายด้วยความสมัครใจเพราะสำนึกผิดและโดยเปิดเผยต่อหน้าประชาชนและสื่อมวลชน พยานโจทก์ทุกปากไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลย ไม่มีเหตุผลที่จะให้การปรับปรำจำเลย พนักงานสอบสวนก็ให้ความเป็นธรรมแก่จำเลยในวันพิจารณาคดีของศาลชั้นต้น จำเลยก็ยังให้การรับสารภาพในตอนต้น แม้ต่อมาจะกลับให้การปฏิเสธแต่ก็ไม่ปรากฏว่าเป็นเพราะเหตุใด เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยแล้ว จำเลยก็มิได้อุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษา เชื่อว่าจำเลยได้กระทำความผิดจริงตามฟ้อง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1604/2531
แม้โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานมายืนยันว่าจำเลยที่ 2 เป็นคนร้ายแต่จำเลยที่ 1 รับต่อเจ้าพนักงานตำรวจในคืนเกิดเหตุว่าจำเลยที่ 2ร่วมปล้นทรัพย์ด้วย ขณะเจ้าพนักงานตำรวจไปจับจำเลยที่ 2 ในคืนนั้นจำเลยที่ 2 ก็พยายามหลบหนีอันเป็นพฤติการณ์ที่ส่อพิรุธ ทั้งจำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพในคืนถูกจับและนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพให้ถ่ายภาพไว้หลังถูกจับเพียง 3 วัน ซึ่งเป็นระยะเวลาใกล้ชิดกับวันเกิดเหตุ และจำเลยที่ 2 รับว่าเป็นผู้เช่ารถแท็กซี่ที่คนร้ายใช้เป็นยานพาหนะหลบหนี พยานแวดล้อมของโจทก์สอดคล้องกันดีมีน้ำหนัก พอฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 ได้ร่วมกระทำผิดกับจำเลยที่ 1และพวก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2422/2531
แม้จะไม่มีพยานคนใดรู้เห็นขณะจำเลยใช้มีดฟันผู้ตาย แต่มีพยานประกอบแวดล้อมที่ใกล้ชิดกับกรณีที่เกิดขึ้นคือ ส. ภรรยาจำเลย และ น. แม่ยายจำเลย โดยได้ความจากพยานทั้งสองว่า คืนก่อนวันเกิดเหตุจำเลยและผู้ตายดื่มสุราแล้วทะเลาะท้าทายกันรุ่งขึ้นเวลาประมาณ 8 นาฬิกา จำเลยและผู้ตายออกจากบ้านไปด้วยกันโดยจำเลยมีมีดติดตัวไปด้วย ครั้นเวลาประมาณ 12 นาฬิกาจำเลยกลับบ้าน ถือมีดดังกล่าวซึ่งเปื้อนเลือดบอกส. ว่าได้ฆ่าผู้ตายแล้ว และห้าม ส. ไม่ให้ไปแจ้งความมิฉะนั้นจะฆ่า และเวลาประมาณ 16 นาฬิกา จำเลยไปหา น. บอกว่าได้ฆ่าผู้ตายแล้วถ้าใครไปแจ้งตำรวจจะฆ่าให้หมด พยานหลักฐานดังกล่าวเป็นพยานแวดล้อมที่ใกล้ชิดกับกรณีที่เกิดขึ้นอย่างมาก เมื่อฟังประกอบกับที่จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนและนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพแล้ว จึงปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยได้กระทำผิดฐานฆ่าผู้อื่นตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288.(ที่มา-ส่งเสริม)
ฎ.2435/2539 ฎ.8/2530 ฎ.1200/2530 ฎ.1346/2530 ฎ.2289/2530
คำพิพากษาที่ศาลวินิจฉัยแล้วยังไม่เพียงพอให้รับฟังลงโทษ
การใช้พยานแวดล้อมในการพิพากษาคดีอาญา ศาลจะต้องใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากพยานแวดล้อมเป็นพยานหลักฐานทางอ้อม ซึ่งอาจมีช่องว่างหรือข้อสงสัยได้ ดังนั้น หากพยานแวดล้อมไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะหักล้างข้อสงสัย ศาลก็จะยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย
ฎ.5/2533 เป็นคดีลักทรัพย์
พยานโจทย์เนี่ยไม่ได้รู้เห็นขณะที่มีการลักทรัพย์เกิดขึ้นเพียงแต่มาเห็นตอนที่จำเลยอยู่บริเวณใกล้เคียงกับที่เกิดเหตุ แล้วเมื่อเข้าไปตรวจสอบก็ปรากฏว่าทรัพย์สินในที่เกิดเหตุหายไป ซึ่งถ้าเกิดจำเลยเป็นคนร้ายจริง ก่อเหตุเสร็จก็น่าจะหลบหนีไปแล้ว ถึงแม้จำเลยจะมีพฤติการว่าถามแล้วไม่ตอบแล้วก็เดินหนีออกไปแล้วเมื่อเห็นตำรวจก็วิ่งหนีแม้จะเป็นการกระทำที่เป็นพิรุธน่าสงสัยแต่มันก็เป็นเพียงแค่พยานแวดล้อมที่ไม่สามารถลงโทษจำเลยได้
ฎ.1919/2533 เป็นคดีขับรถชนคนตาย
ไม่มีคนเห็นเหตุการณ์ในขณะเกิดเหตุรถชน แต่มีพยานแวดล้อมเห็นว่ามีรถยนต์คล้ายกับรถยนต์ของจำเลยขับออกมาจากบริเวณที่เกิดเหตุ แล้วเคยเห็นจำเลยขับรถในลักษณะเดียวกันนี้อยู่ในบริเวณที่เกิดเหตุมาแล้วหลายครั้ง ซึ่งปรากฏว่ารถของจำเลยเนี่ยมีรอยชนและมีโลหิตอยู่ที่บริเวณรถ แต่ก็ปรากฏว่าโลหิตดังกล่าวเป็นโลหิตคนละหมู่กับของผู้ตายหลักฐานไม่เพียงพอจะลงโทษจำเลยได้
ฎ.2318/2535 เป็นคดียิงกัน
ลำพังเพียงจำเลยวิ่งออกมาจากที่เกิดเหตุ ในเส้นทางเดียวกับที่คนร้ายวิ่งหนีไปไม่เพียงพอที่รับฟังลงโทษจำเลยได้เมื่อไม่มีหลักฐานอย่างอื่นมาประกอบเลย ยิ่งไปกว่านั้นหลังเกิดเหตุจำเลยก็ยังทำตัวตามปกติ ไม่ได้หลบหนีไปไหน สาเหตุที่จำเลยวิ่งหลบหนีอาจจะมีจากหลายเหตุเช่นเหตุเพราะว่าตกใจ วิ่งหนีเอาตัวรอด หรือเป็นทางเดียวที่จะต้องผ่านบริเวณนั้น
จากตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกาข้างต้น จะเห็นได้ว่าการใช้พยานแวดล้อมในการลงโทษจำเลยนั้น ศาลจะต้องพิจารณาพยานแวดล้อมโดยละเอียดรอบคอบ และต้องแน่ใจว่าพยานแวดล้อมนั้นมีน้ำหนักเพียงพอที่จะหักล้างข้อสงสัยทั้งหมด มิฉะนั้นจะต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย
เทคนิคการนำสืบพยานแวดล้อม
- นำสืบถึงความน่าเชื่อถือของพยานแวดล้อม
- นำสืบให้เห็นข้ออนุมานที่ปรากฏจากพยานแวดล้อมนั้น
- นำสืบว่าข้ออนุมานดังกล่าวมีน้ำหนักน่าเชื่อถือ
- หาพยานหลักฐานสนับสนุนให้เชื่อมโยงกัน
- นำสืบให้เห็นว่าไม่มีประจักษ์พยานโดยตรง
เทคนิคในการถามค้านพยานแวดล้อม
การถามค้านพยานแวดล้อมก็เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์สำคัญที่ทนายความสามารถใช้เพื่อลดความน่าเชื่อถือของพยานฝ่ายตรงข้าม หรือทำให้ศาลเกิดข้อสงสัยต่อความเชื่อถือของพยานแวดล้อมนั้นๆ
- ทำลายน้ำหนักความน่าเชื่อถือของพยาน
- ถามให้เห็นว่าข้ออนุมานนั้นไม่สมเหตุผล
- ถามให้เห็นว่าข้ออนุมานนั้นอาจมีความเป็นไปได้อย่างอื่น
- ถามให้เห็นว่าไม่มีความเชื่อมโยงกันของพยานหลักฐาน
- ถามให้เห็นว่ามีประจักษ์พยานโดยตรงแต่ไม่นำมาสืบ
สรุป
การใช้พยานแวดล้อมเป็นไปตามหลักการสำคัญ คือ
- ต้องมีพยานแวดล้อมหลายอย่างประกอบกัน: พยานแวดล้อมแต่ละอย่างอาจมีน้ำหนักไม่มากพอที่จะพิสูจน์ความผิดของจำเลยได้ แต่เมื่อนำมารวมกันแล้วจะทำให้เห็นภาพรวมของเหตุการณ์ได้ชัดเจนขึ้น
- พยานแวดล้อมต้องมีความเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กัน: พยานแวดล้อมแต่ละอย่างต้องเชื่อมโยงกันและชี้ไปในทิศทางเดียวกัน
- พยานแวดล้อมต้องมีความน่าเชื่อถือ: พยานแวดล้อมต้องมาจากแหล่งที่เชื่อถือได้ และต้องไม่มีเหตุผลอันควรสงสัยที่จะบิดเบือนข้อเท็จจริง
ใครสนใจเพิ่มเติมผมแนะนำให้ไปอ่านวิทยานิพนธ์ของ คุณสิทธิภัทร พลายเพ็ชร เรื่อง การรับฟงพยานหลักฐานแวดลอมในคดีอาญา เขียนไว้ได้ละเอียดมาก
https://rsuir-library.rsu.ac.th/bitstream/123456789/1240/1/SITTIPAT%20PLAYPETCH.pd