พยานเดี่ยวเนี่ยมีหลักเกณฑ์ในการชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานของศาลยังไง?
ถ้าเราจะต้องถามค้านพยานเดี่ยวเราจะต้องตั้งคำถามยังไง ที่จะทำให้น้ำหนักความน่าเชื่อถือของพยานเดี่ยวลดลง และมีประโยชน์กับรูปคดีคดีของเรา วันนี้เดี๋ยวผมจะมาเล่าให้ฟังแบบเข้าใจง่ายๆครับ
พยานเดี่ยวคืออะไร
พยานเดี่ยวก็คือพยานบุคคล ที่เป็นบุคคลเดียวที่มาเบิกความถึงเหตุการณ์ เรื่องราวต่างๆโดยไม่มีพยานที่รู้เห็นเหตุการณ์ร่วมด้วยมาเบิกความ
ซึ่งในกรณีที่บุคคลหลายคนรู้เห็นเหตุการณ์เดียวกันมาเบิกความจะเรียกว่า “ พยานคู่”
พยานเดี่ยวสามารถรับฟังได้หรือไม่
บางประเทศในกฎหมาย Common law มีหลักปฏิบัติว่าพยานเดี่ยวเนี่ยต้องมีพยานประกอบ ถึงจะรับฟังได้
แต่กฎหมายไทยไม่มีบทบัญญัติข้อห้ามหรือข้อจำกัดรับฟังพยานเดี่ยวไว้
ไม่เหมือนพยานอย่างอื่นที่อาจจะมีข้อจำกัดในการรับฟัง เช่นพยานซัดทอด พยานบอกเล่า
ดังนั้นแล้วเนี่ยพยานเดี่ยวจึงเป็นพยานที่สามารถรับฟังได้ตามกฎหมาย
ดังนั้นถึงจะมีพยานปากเดียว แต่ถ้าเป็นพยานที่ไม่มีพิรุธข้อสงสัยศาลก็สามารถรับฟังเพื่อลงโทษจำเลยในคดีอาญาได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 178/2536
เหตุเกิดเวลากลางวัน แม้โจทก์มีประจักษ์พยานเพียงปากเดียวแต่ขณะเกิดเหตุพยานอยู่ห่างคนร้ายประมาณ 1 วา และน่าเชื่อว่าพยานไม่ตกใจถึงกับจะไม่รับรู้เหตุการณ์ คนร้ายปฏิบัติการอยู่นานมีการยิงซ้ำผู้ตาย พยานวิ่งไปประมาณ 10 เมตร แล้วได้หันกลับมามองเห็นจำเลยยิงผู้ตายซ้ำ ในชั้นสอบสวนพยานให้การยืนยันว่าจำคนร้ายได้ และให้การถึงรูปพรรณคนร้ายในคดีที่ จ. ถูกฟ้องว่าเป็นคนร้ายคนหนึ่ง พยานก็ได้เบิกความยืนยัน เมื่อจับตัวจำเลยได้แล้วพยานก็ชี้ตัวจำเลยได้ถูกต้องไม่ลังเลใจ และได้ลงชื่อรับรองความถูกต้องของบันทึกการชี้ตัวไว้ในชั้นจับกุมจำเลยให้การรับสารภาพโดยสมัครใจ นอกจากนี้ในคดีที่ จ. ถูกฟ้อง จ. รับสารภาพว่าร่วมกับจำเลยและ พ. กระทำผิด แม้ตามปกติคำ
การชั่งน้ำหนักพยานเดี่ยว
ธรรมดาแล้วการชั่งน้ำหนักพยานเดี่ยว ศาลฎีกา ได้วินิจฉัยว่าเป็นบรรทัดฐานตลอดมาว่า ถึงแม้เป็นพยานที่สามารถรับฟังได้ไม่มีข้อห้ามรับฟัง แต่การชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานประเภทนี้จะต้องรับฟังด้วยความระมัดระวัง
เนื่องจากพยานเดี่ยวเนี่ยไม่สามารถใช้วิธีการถามค้านเพื่อตรวจสอบความน่าเชื่อถือ อย่างเช่น พยานคู่ ได้ซึ่งผมเคยได้ทำคลิปอธิบายไว้แล้ว
ศาลฎีกาได้เคยมีคำพิพากษา เกี่ยวกับการชั่งน้ำหนักพยานเดี่ยวไว้หลายฎีกาด้วยกันซึ่งผมจะยกตัวอย่างให้ดูกัน เช่น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4404/2564โจทก์มีผู้เสียหายเป็นประจักษ์พยานเพียงคนเดียว จึงเป็นพยานเดี่ยวที่ต้องรับฟังด้วยความระมัดระวัง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 571/2543
การที่ศาลจะพิพากษาลงโทษจำเลยโดยอาศัยเพียงคำเบิกความของประจักษ์พยานเพียงปากเดียวนั้น คำเบิกความของประจักษ์พยานต้องมีน้ำหนักมั่นคง ประกอบด้วยเหตุผลน่าเชื่อถือควรแก่การรับฟังพอจะลงโทษจำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2350/2541
แม้โจทก์จะมีผู้เสียหายเป็นประจักษ์พยานที่สำคัญเพียงคนเดียว ซึ่งโดยปกติพยานเดี่ยว เช่นนี้จะมีน้ำหนักในการรับฟังน้อย แต่หาใช่ว่าจะรับฟังไม่ได้เลย หากโจทก์มี พยานหลักฐานอื่นที่ดีมาร่วมวินิจฉัยเข้าด้วยกันแล้วพยานเดี่ยว ดังกล่าวก็สามารถรับฟังได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 548/2548
เห็นว่า แม้ประจักษ์พยานโจทก์ที่รู้เห็นเหตุการณ์แต่ละช่วงในวันเกิดเหตุจะเป็นพยานเดี่ยวที่ศาลต้องรับฟังด้วยความระมัดระวังยิ่ง แต่เมื่อพิจารณาแล้วเห็นได้ว่าคำเบิกความของพยานโจทก์แต่ละปากดังกล่าวต่างเบิกความสมเหตุผลและเชื่อมโยงกันโดยตลอดตามลำดับเหตุการณ์ ผู้เสียหายกับนายแววไม่เคยรู้จักจำเลยทั้งสามมาก่อน ส่วนนายณรงค์นั้นรู้จักคุ้นเคยกับจำเลยทั้งสามเป็นอย่างดี เพราะเคยรับจ้างบรรทุกสินค้าให้จำเลยเหล่านั้นมาก่อน แต่ก็ไม่เคยมีสาเหตุบาดหมางกัน ไม่มีเหตุพึงระแวงว่านายณรงค์จะกุเรื่องใส่ความจำเลยทั้งสามให้เสียหายแก่ทางทำมาหากินของตน นอกจากตำหนิรูปพรรณของกระบือเพศเมียทั้ง 2 ตัว ที่จำเลยทั้งสามกับพวกจ้างนายณรงค์ขนย้ายในวันเกิดเหตุจะตรงกับตำหนิรูปพรรณกระบือเพศเมีย 2 ตัว ของผู้เสียหายที่หายไปในละแวกนั้นในวันเดียวกันแล้ว พฤติการณ์ที่จำเลยที่ 2 กับนายฮองนำกระบือ 2 ตัว นั้นลงจากรถยนต์บรรทุกไปผูกทิ้งไว้ห่างจากหมู่บ้านถึง 3 กิโลเมตร ในบริเวณที่ไม่มีบ้านเรือนโดยไม่กลัวการสูญหาย ทั้งที่เป็นเวลากลางคืนเช่นนั้น แสดงให้เห็นความผิดปกติ เมื่อพิจารณาประกอบคำพยานโจทก์ข้างต้นแล้วทำให้พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักมั่นคง รับฟังได้โดยปราศจากสงสัยว่าจำเลยทั้งสามร่วมกับพวกลักกระบือเพศเมีย 2 ตัว ของผู้เสียหายไป พยานฐานที่อยู่ของจำเลยทั้งสามไม่พอหักล้างพยานโจทก์
พยานเดี่ยวมักจะพบในคดีประเภทไหน
คดีบางประเภทที่เป็นเรื่องที่รู้เห็นกันอยู่ 2 คน เช่น คดีข่มขืนหรือบางคดีโดยพฤติการณ์มันก็มีคนรู้เห็นอยู่แค่คนเดียวจริงๆ ไม่สามารถหาพยานคู่มาได้
ประเด็นที่ใช้ถามค้านเพื่อทำลายน้ำหนักพยานเดี่ยว
1.มีบุคคลอื่นที่รู้เห็นเหตุการณ์ที่สามารถเอามาเบิกความด้วยได้ไหม
ถ้าปรากฏว่าในคดีนั้นเนี่ย คู่ความสามารถนำตัวบุคคลอื่นที่รู้เห็นเหตุการณ์เป็นพยานเดียวกันมาเบิกความได้ แต่กลับเลือกไม่เอามา เลือกเอาแต่พยานคนเดียวมาเพื่อไม่เปิดโอกาสให้ฝ่ายตรงข้ามได้ถามค้านทำลายน้ำหนัก ความน่าเชื่อถือ
น้ำหนักความน่าเชื่อถือของพยานเดี่ยวย่อมลดลง เพราะชี้ให้เห็นว่าฝ่ายตรงข้ามหลบเลี่ยงการถูกถามค้าน ดังนั้นเราจะต้องถามค้านให้เห็นว่ามีพยานปากอื่นที่สามารถมาเบิกความเป็นพยานคู่รู้เห็นเหตุการณ์ด้วยกันได้แต่ฝ่ายตรงข้ามไม่ยอมเอามา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5253/2549คดีนี้โจทก์มิได้อ้างและนำสายลับซึ่งเป็นประจักษ์พยานมาเบิกความทั้ง ๆ ที่สายลับรู้เห็นเหตุการณ์เช่นเดียวกับสิบตำรวจเอก ส. แสดงว่าโจทก์ประสงค์จะให้มีประจักษ์พยานในคดีเพียงปากเดียว ย่อมเป็นการนำสืบพยานเดี่ยวเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกถามค้านในกรณีที่สามารถนำสืบพยานคู่ได้ คำเบิกความของสิบตำรวจเอก ส. ซึ่งเป็นพยานเดี่ยวจึงมีน้ำหนักน้อยและต้องรับฟังด้วยความระมัดระวัง
2.คำเบิกความสอดคล้องกับเหตุผลความน่าจะเป็นหรือไม่ ?
เมื่อคำให้การของพยานเดี่ยว ไม่สามารถตรวจสอบความน่าเชื่อถือด้วยการถามค้าน ในรายละเอียดข้อเท็จจริงสาระสำคัญดังเช่นพยานคู่ได้
ดังนั้นการทำลายน้ำหนักความน่าเชื่อถือของพยานเดี่ยว ก็จะต้องดูว่าพยานเดี่ยวเบิกความขัดแย้งกับเหตุผลความน่าจะเป็นไหม ขัดแย้งกับตรรกะหรือเหตุผลหรือไม่ แล้วถามค้างให้เห็นถึงความไม่น่าเชื่อถือดังกล่าวเช่น
2.1.เป็นคดีข่มขืนศาลไม่เชื่อคำเบิกความของพยานโจทก์เนื่องจากเบิกความขัดแย้งกับเหตุผล เนื่องจากสถานที่เกิดเหตุสามารถหลบหนีหรือ ร้องขอความช่วยเหลือได้ง่ายแต่ก็ไม่ยอมทำ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7841/2552
มีปัญหาจะต้องวินิจฉัยต่อไปว่า เป็นการกระทำโดยผู้เสียหายที่ 1 ยินยอมหรือไม่ ผู้เสียหายที่ 1 เบิกความว่าตนไม่ยินยอมให้ร่วมประเวณี แต่เมื่อคำนึงถึงความสัมพันธ์ส่วนตัวของผู้เสียหายที่ 1 กับกลุ่มของจำเลยทั้งสามที่เดินไปก็เกิดเหตุโดยไม่มีการบังคับข่มขู่ สภาพเต้นท์ที่เกิดเหตุได้ความว่าไม่ใหญ่โตมาก นอนได้ไม่เกิน 2 ถึง 3 คน สูงระดับหน้าอกของผู้เสียหายที่ 1 ขณะมีการร่วมประเวณีคงอยู่ภายในเต้นท์เพียง 2 คน ส่วนอีก 2 คน ไม่อยู่ด้วยและไม่ปรากฏว่ามีการใช้อาวุธ ดังนั้น ที่ไม่มีการต่อสู้หรือร้องขอความช่วยเหลือโดยไม่ปรากฏว่ามีเหตุอะไรที่มาขัดขวางผู้เสียหายที่ 1 ไม่ให้กระทำการดังกล่าวได้ จึงยังมีข้อสงสัยว่าจะมีการบังคับขู่เข็ญหรือใช้กำลังประทุษร้ายหรือไม่ จึงต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 พยานโจทก์คงฟังได้แต่เพียงว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้ร่วมประเวณีกับผู้เสียหายที่ 1 โดยผู้เสียหายที่ 1 ยินยอม
2.2.เป็นเรื่องขัดแย้งต่อเหตุผล คนจะมาลักทรัพย์ยังจะต้อง มีเวลามาเปลี่ยนป้ายที่หน้ารถบรรทุกทั้งๆที่เป็นเวลากลางคืนไม่เป็นจุดสังเกตอยู่แล้ว แล้วพอพบเห็นคุณก็ไม่หลบหนีและยังพูดคุยกับพยานปกติขัดวิสัยคนที่มาลักทรัพย์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 227/2536
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยเป็นคนร้ายลักรถบรรทุกของผู้เสียหายไปหรือไม่ โจทก์มีนายสมศักดิ์ ดีอ้น หลานของผู้เสียหายเป็นประจักษ์พยานเบิกความว่า เห็นจำเลยกำลังกลับป้ายชื่อบริษัทมิตรไพบูลย์ขนส่ง จำกัด บนหลังคาเก๋งตรงคนขับที่หน้าปั๊มน้ำมันภัทรนันท์ซึ่งรถบรรทุกจอดอยู่ในคืนเกิดเหตุ ขณะนายสมศักดิ์ขับรถจักรยานยนต์กลับบ้าน นายสมศักดิ์ได้หยุดรถและพูดคุยกับจำเลย เห็นว่า จุดที่นายสมศักดิ์เห็นจำเลยอยู่หน้าปั๊มน้ำมันซึ่งอยู่ใกล้กับที่จอดรถบรรทุก หากจำเลยเป็นคนร้ายจริงจำเลยน่าจะรีบขับรถบรรทุกออกจากปั๊มน้ำมันหลบหนีไป จึงไม่มีเหตุที่จำเลยจะหยุดรถบรรทุกเพื่อเปลี่ยนป้ายที่หน้ารถบรรทุก เพราะขณะนั้นเป็นเวลากลางคืนแม้ป้ายหน้ารถบรรทุกจะไม่ถูกเปลี่ยนก็ไม่เป็นที่ผิดสังเกตอย่างใด นอกจากนี้เมื่อนายสมศักดิ์พบจำเลยเช่นนี้จำเลยก็น่าจะรู้ตัวว่ามีผู้พบเห็นจำเลยเป็นคนร้ายแล้วจะต้องไปบอกผู้เสียหาย จำเลยน่าจะหลบหนีไปทันที แต่จำเลยยังเอารถบรรทุกและสินค้าของผู้เสียหายไป คำเบิกความของนายสมศักดิ์ซึ่งเป็นประจักษ์พยานเดียวจึงเป็นพิรุธน่าสงสัย นอกจากนี้โจทก์ไม่มีพยานรู้เห็นการกระทำที่จะชี้ว่าจำเลยเป็นคนร้าย ชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนจำเลยให้การปฏิเสธตลอดมา พยานหลักฐานโจทก์มีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยได้กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 227 วรรคสอง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น”
2.3.ลักษณะการมองเห็นเนี่ยไม่น่าจะเป็นไปได้
ฎ.297/2533 พยานนั่งไปในกระบะท้าย รถยนต์ ขนาดหกล้อซึ่งแล่นไปตามถนนลูกรังด้วยความเร็วเกือบ 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มีฝุ่นฟุ้ง กระจายเต็มท้ายรถที่แล่นไป คนร้ายขับรถจักรยานยนต์ตามหลังรถที่พยานนั่ง ดังนี้ โอกาสที่พยานจะมองฝ่า ละอองฝุ่นที่ฟุ้ง กระจายเต็มท้ายรถที่ตนนั่งไปถึงขนาดเห็นหน้าคนร้ายชัดเจนนั้นย่อมไม่มีทางเป็นไปได้ ยิ่ง เป็นคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ประกอบกับมีช่วงเวลาเพียง 5 นาที ความเป็นไปไม่ได้ก็ยิ่ง มีมากขึ้นไปอีกจึงไม่น่าเชื่อว่าพยานจะจำคนร้ายได้
2.4.อ้างว่าถูกขู่เข็ญไปกระทำชำเราแต่กลับมาแล้วไม่พูดไม่บอกใครเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3104/2533
มีปัญหาว่า จำเลยกระทำการข้างต้นโดยบังคับขู่เข็ญผู้เสียหายหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า ทันใดที่ผู้เสียหายกลับมาเมื่อวันที่ 16กรกฎาคม 2529 ผู้เสียหายไม่ได้บอกผู้ใดเลยว่าจำเลยใช้กำลังประทุษร้ายบังคับขู่เข็ญพาผู้เสียหายไปแล้วข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย แต่กลับบอกนางอุไรวรรณเจ้าของร้านดารณีที่ผู้เสียหายไปเรียนเสริมสวยอยู่ด้วยว่า ผู้เสียหายไปเที่ยวหัวหินกับเพื่อนและต่อนางสาวจรวยพี่สาวผู้เสียหายซึ่งผู้เสียหายพักด้วย ผู้เสียหายก็บอกเช่นนั้น ที่ผู้เสียหายแจ้งให้นางสาวจรวยทราบในวันรุ่งขึ้นว่าฉุดผู้เสียหายขึ้นรถแท๊กซี่ไปก็ดีแจ้งให้นางป่วมทราบในวันที่ 21กรกฎาคม 2529 ว่าจำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายหลังจากฉุดไปแล้วก็ดี เหล่านี้เห็นว่าไม่มีน้ำหนัก เพราะเป็นคำบอกเล่าภายหลังที่ผู้เสียหายมีโอกาสใคร่ครวญไตร่ตรองถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วทั้งผู้เสียหายมิได้แจ้งเรื่องนี้ต่อพนักงานสอบสวนเมื่อไปแจ้งความในครั้งแรก คำเบิกความของผู้เสียหายซึ่งเป็นพยานเดี่ยวที่ว่าจำเลยใช้กำลังฉุดขึ้นรถแท๊กซี่แล้วชกต่อยตบตีผู้เสียหาย ทั้งขณะที่อยู่ในรถและที่บ้านก่อนข่มขืนกระทำชำเรานั้น จึงมีน้ำหนักน้อย ไม่พอฟังว่าจำเลยบังคับขู่เข็ญพาผู้เสียหายไปและข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายดังโจทก์ฟ้อง ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยฐานพรากผู้เยาว์อายุไม่เกิน 18 ปี เพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจไปด้วยและข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยในข้อนี้ฟังขึ้น
3.ขัดแย้งกับคำให้การชั้นสอบสวนไหม ?
ธรรมดาแล้วพยานที่จะมาเบิกความในชั้นศาลในคดีอาญา ถ้าเป็นพยานของอัยการโจทก์ก็มักจะผ่านสำนวนสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจมาก่อน ดังนั้นหากพยานให้การในชั้นสอบสวนแตกต่างจากการให้การในชั้นศาล โดยเฉพาะในกรณีที่พยานปากนั้นเป็นพยานเดี่ยวที่ไม่สามารถตรวจสอบด้วยวิธีอื่นได้ คำให้การของพยานปากนั้นย่อมมีน้ำหนักความน่าเชื่อถือลดน้อย
ยกตัวอย่างเช่นคดีตามคำพิพากษา ฎ.4404/2564
เป็นคดีเรื่องถูกอาวุธปืนจ่อยิง ผู้เสียหายบอกว่าจำเลยเนี่ยมีเจตนาฆ่า ชักปืนมาแล้วยิงแต่ปืนมันไม่ลั่น แต่จำเลยบอกว่ามันก็ยิงขู่เฉยๆ ไม่ได้มีเจตนา
ฎีกานี้ศาลไม่เชื่อคำพยานเดี่ยว เพราะ
- เบิกความขัดแย้งกับคำให้การชั้นสอบสวน ชั้นสอบสวนไม่ให้รายละเอียดที่สำคัญหลายอย่าง
- คำเบิกความขัดแย้งกับเหตุผลความน่าจะเป็น เช่นชั่วโมงนั้นโดนปืนจ่ออยู่จะมองเข้าไปถึงขั้นเห็นเข็มแทงชนวน
- หรือใครจะเอาลูกไปก่อเหตุยิงคนตายแล้วไปพูดบอกว่าจะยิงคนอื่นให้ลูกฟัง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4404/2564
โจทก์มีผู้เสียหายเป็นประจักษ์พยานเพียงคนเดียว จึงเป็นพยานเดี่ยวที่ต้องรับฟังด้วยความระมัดระวัง ได้ความจากคำเบิกความผู้เสียหายว่า ขณะที่ผู้เสียหายนั่งคร่อมรถจักรยานยนต์ จำเลยชักอาวุธปืนที่เหน็บอยู่ตรงเอวออกมาแล้วเล็งที่ใบหน้าผู้เสียหาย ผู้เสียหายมองเข้าไปในปากกระบอกปืนไม่เห็นเข็มแทงชนวนที่อยู่ด้านหลัง จึงเชื่อว่ามีกระสุนปืนบรรจุอยู่ แต่เมื่อพิจารณาในบันทึกคำให้การของผู้เสียหายที่ผู้เสียหายไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนและให้การไว้หลังเกิดเหตุทันที กลับไม่ปรากฏข้อเท็จจริงในคำให้การว่า ขณะที่จำเลยเล็งอาวุธปืน ผู้เสียหายได้มองเข้าไปในปากกระบอกปืนของจำเลยไม่เห็นเข็มแทงชนวนที่อยู่ด้านหลัง จึงเชื่อว่ามีกระสุนปืนบรรจุอยู่ดังที่ผู้เสียหายเบิกความในชั้นพิจารณา อันเป็นข้อแตกต่างกันในสาระสำคัญ ทั้ง ๆ ที่เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นเรื่องสำคัญที่ผู้เสียหายควรจะให้การต่อพนักงานสอบสวนไว้เสียแต่แรก การที่ผู้เสียหายเพิ่งมาเบิกความกล่าวอ้างในชั้นพิจารณาดังกล่าวมาข้างต้น จึงเชื่อว่าเป็นการเบิกความเพิ่มเติมจากที่ได้ให้การไว้ในชั้นสอบสวน ซึ่งส่อไปในทางให้เกิดเป็นผลร้ายแก่จำเลย ประกอบกับในสภาวะที่ผู้เสียหายกำลังถูกจำเลยใช้อาวุธปืนเล็งอยู่ในขณะนั้น ย่อมมีอาการตกใจกลัวภยันตรายที่จะเกิดขึ้นแก่ชีวิตของตนจึงไม่น่าเชื่อว่าผู้เสียหายจะอยู่ในวิสัยที่สามารถมองเข้าไปในปากกระบอกปืนจนสังเกตเห็นได้ว่ามีกระสุนปืนบรรจุอยู่ดังที่เบิกความ นอกจากนี้ที่ผู้เสียหายเบิกความอีกว่า เมื่อผู้เสียหายตอบคำถามจำเลยแล้ว จำเลยหันไปพูดกับนายสุทธิภัทรว่า “ลูกคอยดูนะ ว่าการยิงคนมันเป็นอย่างไร” นั้น ผู้เสียหายก็ไม่ได้ให้การถึงข้อเท็จจริงดังกล่าวไว้ในชั้นสอบสวนเช่นกัน ทั้งไม่น่าเชื่อว่าจำเลยจะพูดเช่นนั้นก่อนที่จะลงมือกระทำความผิดร้ายแรงต่อหน้าบุตรของตนซึ่งเป็นเรื่องผิดปกติวิสัยเป็นอย่างยิ่ง คำเบิกความของผู้เสียหายจึงเป็นพิรุธน่าสงสัย อีกทั้งคดีนี้ไม่ได้อาวุธปืนของกลางมาเป็นพยานวัตถุในคดีเพื่อตรวจพิสูจน์ยืนยันได้ว่าอาวุธปืนกระบอกดังกล่าวมีกระสุนปืนบรรจุอยู่ในรังเพลิงจริงตามที่ผู้เสียหายเบิกความหรือไม่ แม้ว่าจุดที่จำเลยลงมือก่อเหตุมีสภาพเป็นสวนยางพาราปลูกอยู่ริมถนน แต่ในบริเวณนั้นก็ยังมีบ้านของดาบตำรวจเสรีตั้งอยู่ ซึ่งห่างจากจุดเกิดเหตุเพียง 100 เมตร และได้ความว่าจำเลยยังจอดรถพูดคุยกับดาบตำรวจเสรีบนถนนบริเวณหน้าบ้านก่อนที่จะเกิดเหตุอีกด้วย จึงเชื่อว่าวันเกิดเหตุผู้เสียหายกับจำเลยมาพบกันโดยบังเอิญ หากจำเลยประสงค์จะเอาชีวิตของผู้เสียหายจริง ก่อนลงมือก่อเหตุ จำเลยคงไม่ไปปรากฏตัวให้เจ้าพนักงานตำรวจพบเห็น และไม่มีเหตุผลใดที่ต้องพาบุตรชายซึ่งในวันเกิดเหตุมีอายุเพียง 14 ปี มาด้วย อีกทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยกับผู้เสียหายเคยมีเหตุทะเลาะวิวาทถึงขนาดทำร้ายร่างกายกันมาก่อน จึงไม่น่าเชื่อว่าจำเลยโกรธเคืองผู้เสียหายถึงขนาดจะทำร้ายเพื่อประสงค์เอาชีวิตผู้เสียหาย ดังนั้น ลำพังคำเบิกความผู้เสียหายที่อ้างว่า จำเลยใช้อาวุธปืนยิงใส่ผู้เสียหาย 2 ครั้ง เสียงดังแป้ก แต่กระสุนปืนไม่ลั่น จึงยังไม่อาจรับฟังได้โดยสนิทใจว่าผู้เสียหายเห็นกระสุนปืนบรรจุอยู่ในรังเพลิงและจำเลยลั่นไกปืนยิงใส่ผู้เสียหายจริงตามที่เบิกความ ประกอบกับจำเลยให้การปฏิเสธและนำสืบต่อสู้ว่าจำเลยมีเพียงเจตนาข่มขู่ผู้เสียหายเท่านั้น พยานหลักฐานของโจทก์ จึงยังมีความสงสัยตามสมควรว่า จำเลยกระทำความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหายตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 หรือไม่ ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง
4.ขัดแย้งกับพยานเอกสารหรือพยานวัตถุหรือไม่ ?
ในกรณีที่พยานเดี่ยวเบิกความขัดแย้งกับพยานเอกสารหรือพยานวัตถุ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากพยานเอกสารหรือพยานวัตถุนั้นเป็นพยานที่มีน้ำหนักน่าเชื่อถือ มีคุณค่าในเชิงพิสูจน์สูง ความน่าเชื่อถือของพยานเดี่ยวนั้นย่อมลดลง
คำเบิกความว่าถูกรุมข่มขืนขัดแย้งกับผลตรวจร่างกาย
ฎีกาที่ 3087/2535
โจทก์มีผู้เสียหายเป็นประจักษ์พยานเบิกความว่า จำเลยทั้งหกกับชายอื่นรวมประมาณ 15 คน ได้ผลัดเปลี่ยนกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย โดยจำเลยที่ 2 กับชายดังกล่าวบางคนได้ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายเกินกว่า 1 ครั้ง ผู้เสียหายถูกข่มขืนกระทำชำเราทั้งสิ้นประมาณ 19 ครั้ง ดังนี้ ผู้เสียหายเป็นประจักษ์พยานเดี่ยวอ้างว่าถูกข่มขืนกระทำชำเรารวมถึงประมาณ 19 ครั้ง ผู้เสียหายรู้สึกเจ็บปวดที่อวัยวะเพศมาก มีเลือดไหลออกจากอวัยวะเพศ และขณะถูกข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายถึงกับสลบไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง กรณีมีเหตุน่าสงสัยว่าอาจไม่เป็นความจริง เพราะถ้าข้อเท็จจริงเป็นดังกล่าวย่อมเชื่อได้ว่าอวัยวะเพศของผู้เสียหายจะต้องมีรอยฟกช้ำรอยช้ำบวม และหรือมีบาดแผลฉีกขาดปรากฏให้แพทย์ตรวจพบได้ถึงภายหลังเกิดเหตุเป็นเวลาหลายวัน แต่ได้ความจากแพทย์ผู้ตรวจร่างกายผู้เสียหายหลังเกิดเหตุแล้วเพียงวันเดียว ปรากฏว่าไม่พบรอยฟกช้ำรอยช้ำบวม หรือรอยฉีกขาดที่อวัยวะเพศของผู้เสียหาย
ทั้งเมื่อนำคราบซึ่งเป็นของเหลวจากภายในอวัยวะเพศของผู้เสียหายไปตรวจหาเชื้ออสุจิ ก็ไม่พบตัวเชื้ออสุจิ ผู้เสียหายเป็นประจักษ์พยานเดี่ยวและเบิกความมีเหตุน่าสงสัยดังกล่าว ประกอบกับจำเลยทั้งหกก็ให้การและนำสืบปฏิเสธว่าต่างไม่ได้กระทำความผิด คดีมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยทั้งหกได้กระทำความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายดังฟ้องหรือไม่ ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลย
5.ขัดกับพยานแวดล้อมกรณีหรือเปล่า
พยานแวดล้อมคือพยานที่ไม่ได้รู้เห็นเหตุการณ์โดยตรง ไม่สามารถยืนยันได้ว่าจำเลยกระทำความผิดหรือบริสุทธิ์ แต่เป็นพยานที่สามารถยืนยันข้อเท็จจริงบางส่วนช่วงก่อนเกิดเหตุหรือหลังเกิดเหตุได้ ซึ่งผมเคยได้ทำบทความอธิบายไว้แล้วเกี่ยวกับพยานแวดล้อม
ซึ่งถ้าปรากฏว่าพยานเดี่ยวเบิกความขัดแย้งกับพยานแวดล้อม ความน่าเชื่อถือของพยานเดี่ยวย่อมลดน้อยถอยลง
คดีลักทรัพย์ พยานเดี่ยวเบิกความขัดกับพยานแวดล้อมกรณี บอกว่าเข้าไปนอนกับผู้หญิงแล้วผู้หญิงแอบเอาทรัพย์ออกไปตอนที่ตนเองหลับ แล้วบอกว่าลงมาถึงก็มาโวยวายมาตามหากับพนักงานเคาน์เตอร์เลย แต่พนักงานเคาน์เตอร์มาบอกว่าไม่เห็นจะมีอะไรเลยก็เดินออกไปปกติไม่ได้มาบอกว่าจะตามหาอะไร
- คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 833/2544
- “ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่า จำเลยเป็นคนร้ายรายนี้หรือไม่ นายโสภณผู้เสียหายเบิกความเป็นพยานโจทก์ว่าก่อนเกิดเหตุได้พบจำเลยที่สวนรักซึ่งเป็นสวนสาธารณะ จำเลยชักชวนผู้เสียหายให้ไปร่วมหลับนอน ผู้เสียหายกับจำเลยพากันไปเปิดห้องพักที่โรงแรมโตเกียวจำเลยลงมาซื้อเบียร์ขวดเล็ก 4 ขวด ที่ข้างล่างแล้วถือขึ้นไปในห้องพักในลักษณะที่ฝาขวดเบียร์ทั้ง 4 ขวดเปิดแล้ว ผู้เสียหายดื่มเบียร์ที่จำเลยรินให้หมดไปประมาณ1 ขวด แล้วก็หลับไปมาตื่นขึ้นเมื่อเวลาประมาณ 5 นาฬิกา ของวันที่ 4 เมษายน2539 ปรากฏว่าไม่มีผู้ใดอยู่ในห้องพักและทรัพย์สินของผู้เสียหายตามบัญชีทรัพย์ถูกประทุษร้ายเอกสารหมาย ปจ.1 (ศาลจังหวัดอุทัยธานี) สูญหายไปจึงลงมาแจ้งให้พนักงานโรงแรมที่เคาน์เตอร์โรงแรมทราบและสอบถามรายชื่อผู้เข้าพัก แต่พนักงานโรงแรมไม่ได้ลงชื่อไว้ เมื่อสอบถามพนักงานโรงแรมทราบว่าจำเลยออกจากโรงแรมไปเวลาประมาณ 2 นาฬิกา
- แต่นายเลี่ยงเฮ็ง แซ่โล้วพนักงานโรงแรมที่เกิดเหตุเบิกความเป็นพยานโจทก์ว่าเมื่อวันที่ 3 เมษายน2539 เวลาประมาณ 23 นาฬิกา ผู้เสียหายเดินทางมาพร้อมกับสุภาพสตรีคนหนึ่งขอเปิดห้องพักค้างคืน 1 คืน จนกระทั่งเวลาประมาณ 5 นาฬิกาของอีกวันหนึ่ง ผู้เสียหายออกจากโรงแรมไปโดยไม่ได้พูดอะไร ต่อมาถูกเรียกให้ไปเป็นพยานจึงทราบว่ามีการลักทรัพย์เกิดขึ้น
- เห็นว่า คดีนี้คงมีแต่เฉพาะผู้เสียหายเพียงปากเดียวเบิกความเป็นพยานโจทก์ว่าจำเลยอยู่กับผู้เสียหายเพียงสองคนเท่านั้นในห้องพักของโรงแรมที่เกิดเหตุ เมื่อผู้เสียหายหลับไปและตื่นขึ้นมาปรากฏว่าจำเลยได้หายไปจากห้องพักและทรัพย์สินของผู้เสียหายสูญหายไป ผู้เสียหายเป็นพยานเดี่ยว จึงต้องรับฟังด้วยความระมัดระวังเมื่อปรากฏว่าคำเบิกความของผู้เสียหายแตกต่างกับคำเบิกความของนายเลี่ยงเฮ็งพนักงานโรงแรมในข้อที่ว่า เมื่อรู้ว่าทรัพย์สินของผู้เสียหายไปและจำเลยไม่อยู่ในห้องพักแล้ว ผู้เสียหายลงไปที่เคาน์เตอร์โรงแรมและแจ้งให้พนักงานโรงแรมทราบ แต่นายเลี่ยงเฮ็งพนักงานโรงแรมซึ่งอยู่ที่เคาน์เตอร์โรงแรมในคืนเกิดเหตุกลับเบิกความว่า ผู้เสียหายออกจากโรงแรมเวลาประมาณ 5 นาฬิกา โดยไม่ได้พูดอะไรเลย เมื่อคำเบิกความของพยานโจทก์ดังกล่าวแตกต่างกันเป็นพิรุธ ซึ่งจำเลยได้ให้การปฏิเสธมาโดยตลอดทั้งในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนประกอบกับไม่ได้ตรวจพบทรัพย์สินของผู้เสียหายที่จำเลยและนายเลี่ยงเฮ็งก็มิได้ยืนยันว่าจำเลยเป็นบุคคลคนเดียวกับสุภาพสตรีที่มากับผู้เสียหายในคืนที่เกิดเหตุ ทั้งในชั้นพิจารณาจำเลยให้การปฏิเสธโดยนำสืบอ้างฐานที่อยู่และอ้างว่าไม่เคยรู้จักผู้เสียหายมาก่อน ดังนั้นพยานหลักฐานของโจทก์ดังกล่าวจึงไม่มีน้ำหนักเพียงพอให้รับฟังว่า จำเลยเป็นคนร้ายรายนี้ได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกฟ้อง ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
6.คุณค่าเชิงพิสูจน์ / ความเป็นไปได้อย่างอื่น ?
ถ้าพยานเดี่ยวไม่ได้มีลักษณะเป็นพยานโดยตรง ที่สามารถยืนยันได้ว่าจำเลยกระทำความผิด หรือเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่เป็นเพียงพยานแวดล้อมเสียเอง ความน่าเชื่อถือของพยานเดี่ยวนั้นย่อมลดน้อยถอยลง
ตัวอย่างเช่นพยานเดี่ยวไม่ได้เห็นเหตุการณ์ในขณะที่จำเลยยิงผู้ตาย สามารถยืนยันได้เพียงแค่ว่าเห็นจำเลยวิ่งออกมาจากสถานที่เกิดเหตุ เช่นนี้ย่อมมีความเป็นไปได้อย่างอื่นว่าจำเลยหลบหนีเพราะได้ยินเสียงปืน หรือจำเลยไม่ได้เป็นคนยิงผู้ตาย
ซึ่งเราสามารถถามค้านพยานดี่ยวแบบนี้ได้โดยใช้หลักเดียวกันกับการถามค้านพยานแวดล้อม คือการถามให้เห็นว่ามีโอกาสเป็นไปได้อย่างอื่นนอกจากสิ่งที่พยายามเข้าใจ
ยกตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกาเช่น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5/2533
โจทก์มีพยานเพียงปากเดียวแต่มิได้รู้เห็นขณะจำเลยลักเอาเงินของผู้เสียหายไป โดยพยานออกไปจากกระท่อมนานานประมาณ 30นาทีก็กลับมาพบเห็นจำเลยยืนอยู่ใต้กระท่อมนา และพบว่าเงินของผู้เสียหายที่อยู่บนกระท่อมนาได้หายไป ดังนี้ หากจำเลยเป็นคนร้ายเมื่อได้เงินแล้วก็น่าจะรีบหนีออกไปจากกระท่อมนา ไม่มีเหตุผลใดที่จำเลยจะมายืนอยู่ใต้กระท่อมนา ทั้งกระท่อมนาที่เกิดเหตุตั้งอยู่ในที่เปิดเผยใกล้ทางที่ชาวบ้านผ่านไปมา ฉะนั้นระยะเวลาที่พยานไปและกลับมาที่กระท่อมนา คนที่เดินผ่านจึงมีโอกาสที่จะขึ้นไปลักเอาเงินบนกระท่อมนาได้โดยง่าย ส่วนการที่พยานถามจำเลยว่ามาทำอะไร จำเลยไม่ตอบกลับเดินออกไปและเมื่อจำเลยเห็นเจ้าพนักงานตำรวจก็วิ่งหนีนั้น แม้เป็นการกระทำอันเป็นพิรุธก็ตาม แต่การกระทำอันเป็นพิรุธของจำเลยดังกล่าวและการที่จำเลยยืนอยู่ใต้กระท่อมนาภายหลังจากที่เงินของผู้เสียหายได้หายไปนั้นเป็นเพียงพฤติการณ์ที่น่าสงสัยว่าจำเลยน่าจะเป็นคนร้ายเท่านั้น เมื่อโจทก์ไม่มีพยานอื่นมาสืบประกอบเพื่อยืนยันให้เห็นว่าจำเลยเป็นผู้กระทำผิดจริง พยานโจทก์จึงยังเป็นที่สงสัย ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยตาม ป.วิ.อ. มาตรา 227 วรรคสอง.
ดังนั้นแล้วหากเรารับหน้าที่เป็นทนายความฝั่งจำเลยที่จะทำลายน้ำหนักของพยานเดียวก็ต้องถามค้าให้เห็นข้อพิรุธดังกล่าว หากไม่ปรากฏข้อพิรุธเป็นที่ชัดเจน ศาลย่อมรับสามารถรับฟังพยานเดี่ยวลงโทษจำเลยได้
สรุป
วิธีการถามค้านพยานเดี่ยว
- ถามว่ามีพยานคนอื่นที่สามารถเอามาเบิกความได้ แต่โจทก์หลบเลี่ยง
- คำเบิกความขัดแย้งกับเหตุผล ความน่าจะเป็น
- ขัดแย้งกับพยานแวดล้อมกรณี
- ขัดแย้งกับพยานวัตถุพยานเอกสารหรือหลักการทางนิติวิทยาศาสตร์
- มีโอกาสความเป็นไปได้อย่างอื่นนอกเหนือจากคำเบิกความของพยาน