คู่มือปฏิบัติงานของทนายความ

การต่อสู้คดีอาญาโดยอ้างฐานที่อยู่

 

การต่อสู้คดีอ้างฐานที่อยู่

สู้คดีโดยอ้างฐานที่อยู่ หรืออ้างว่าไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุ  เป็นฝ่ายจำเลยจะต้องนำสืบยังไงให้มีน้ำหนักน่าเชื่อถือ  ?

ถ้าเราเป็นฝ่ายโจทก์ฝ่ายจำเลยอ้างฐานที่อยู่เนี่ยเราจะถามค้านหรือทำลายน้ำหนักเขายังไง ?

วันนี้เดี๋ยวผมจะมาอธิบายให้ฟังโดยละเอียดครับ

 

  1. จำเลยมีการให้การเรื่องฐานที่อยู่ในชั้นสอบสวนหรือไม่

กรณีที่ให้การตั้งแต่ต่อสู้คดีตั้งแต่ในชั้นสอบสวนเลยตั้งแต่ต้นว่าไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุ พร้อมกับระบุรายละเอียดไปเลยว่าเราอยู่ที่ไหนมีพยานเป็นใครบ้าง ย่อมมีน้ำหนักน่าเชื่อถือ เมื่อคดีขึ้นสู่การพิจารณาในชั้นศาล

ตัวอย่างเช่น 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 21623/2556     

พยานโจทก์นอกจากนี้ไม่ได้รู้เห็นจำเลยที่ 3 กระทำผิด เมื่อจำเลยที่ 3 นำสืบปฏิเสธโดยอ้างฐานที่อยู่มาโดยตลอด พยานหลักฐานโจทก์เท่าที่นำสืบมาจึงยังมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยที่ 3 ร่วมกับพวกกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลยที่ 3

และ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1840/2531

แต่ถ้าในชั้นสอบสวนจำเลยไม่ให้การถึงรายละเอียด ว่าไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุ ไม่ได้อ้างข้อต่อสู้เรื่องฐานที่อยู่ แต่มาให้การทีหลังในชั้นสืบพยาน หรือให้การเรื่องสถานที่อยู่แตกต่างจากที่เคยให้การไว้ในชั้นสอบสวน ก็จะไม่มีน้ำหนัก หรือมีน้ำหนักให้รับฟังได้น้อยลง

ตัวอย่างเช่น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7515/2556

ที่จำเลยที่ 1 นำสืบต่อสู้โดยอ้างฐานที่อยู่นั้น นอกจากจะเป็นเรื่องที่ง่ายต่อการกล่าวอ้างแล้ว ในชั้นสอบสวนแม้จำเลยที่ 1 มีสิทธิที่จะให้การหรือไม่ก็ได้ แต่หากจำเลยที่ 1 มีข้อต่อสู้ในเรื่องฐานที่อยู่ซึ่งจำเลยที่ 1 ทราบดีอยู่แล้ว และยังเป็นสาระสำคัญในการต่อสู้คดีของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ก็น่าจะให้การต่อพนักงานสอบสวนเพื่อยืนยันถึงความบริสุทธิ์ของตนเสียตั้งแต่โอกาสแรกที่จะกระทำได้ แต่จำเลยที่ 1 ก็หาได้กระทำเช่นนั้นไม่ จึงเป็นพิรุธส่อแสดงว่าเป็นข้อต่อสู้ที่ยกขึ้นกล่าวอ้างในภายหลัง ไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1903/2565

ส่วนจำเลยให้การต่อพนักงานสอบสวนครั้งแรกเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2562 โดยมีทนายความและบุตรสาวร่วมฟังการสอบสวนอยู่ด้วย แต่ไม่ให้การต่อสู้อ้างฐานที่อยู่ อ้างบุคคล เอกสาร หรือวัตถุเป็นพยานแต่อย่างใด จำเลยเพิ่งอ้างฐานที่อยู่และอ้างบุคคลเป็นพยานเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2562 ภายหลังจากให้การต่อพนักงานสอบสวนครั้งแรกเกือบ 1 เดือน โดยปราศจากเหตุผล ซึ่งเป็นพิรุธ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1392/2564

ที่จำเลยนำสืบต่อสู้ว่าอ้างฐานที่อยู่ก็มีแต่จำเลยและนางลีเมาะ มารดาจำเลยเป็นพยานจึงเป็นการง่ายต่อการกล่าวทั้งในวันที่จำเลยถูกจับกุม เจ้าพนักงานตำรวจก็พานางลีเมาะไปด้วยนางลีเมาะจึงเป็นพยานรู้เห็นการกระทำของเจ้าพนักงานตำรวจ จึงไม่มีเหตุที่เจ้าพนักงานตำรวจจะกล้าทำร้ายจำเลย จำเลยได้รับความคุ้มครองสิทธิขั้นพื้นฐานแต่จำเลยไม่ได้ให้การอ้างฐานที่อยู่ กลับยกขึ้นมาเป็นข้อต่อสู้ในชั้นพิจารณา จึงเป็นข้อเท็จจริงใหม่ที่จำเลยไม่ได้ให้การเป็นข้อพิรุธไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 697/2560

คำเบิกความของจำเลยเรื่องฐานที่อยู่ในวันเกิดเหตุขัดแย้งกับที่จำเลยเคยให้การในชั้นสอบสวน ว่า วันเวลาเกิดเหตุ จำเลยอยู่ที่บ้านซึ่งพักอาศัยในปัจจุบันทำนองมิได้ออกจากบ้านไปที่อื่นใด ข้อต่อสู้คดีอ้างฐานที่อยู่ของจำเลยย่อมไม่มีน้ำหนัก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1104/2525

ที่จำเลยทั้งสองนำสืบอ้างฐานที่อยู่ว่าในขณะเกิดเหตุจำเลยทั้งสองไปทำการตัดฟืนอยู่ที่ไร่ของบิดาจำเลยที่ 1 แตกต่างกับฐานที่อยู่ที่จำเลยทั้งสองอ้างในขณะถูกจับกุมว่าตามวันเวลาเกิดเหตุจำเลยทั้งสองนอนอยู่ที่บ้านของตน ไม่มีน้ำหนักให้น่าเชื่อถือไม่อาจรับฟังหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้

  1. มีการอ้างพยานบุคคลในชั้นสอบสวนหรือไม่

ถ้าในชั้นศาลจำเลยได้เอาพยานบุคคลมาเบิกความ แต่พยานบุคคลนั้น ไม่เคยมาให้การในชั้นสอบสวนเลย น้ำหนักของพยานบุคคลนั้นก็ย่อมที่จะน้อยลง

ตัวอย่างเช่น 

      • คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1457/2563ที่จำเลยนำสืบและฎีกาอ้างฐานที่อยู่นั้น คงมีแต่คำเบิกความของจำเลยกับพยานจำเลยเพียงลอย ๆ ไม่มีพยานหลักฐานอื่นมาสนับสนุนให้น่าเชื่อถือ อีกทั้งไม่ปรากฏว่าพยานจำเลยเคยไปให้การในชั้นสอบสวน จึงไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้
      • คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1943/2566ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า จำเลยทั้งสองถูกคุมขังมาโดยตลอด พยายามประสานให้ญาตินำนางคอตัม และนายอิสกรรดาร์ ไปพบพนักงานสอบสวนเพื่อยืนยันฐานที่อยู่ของจำเลยทั้งสอง แต่พนักงานสอบสวนแจ้งว่าค่อยไปให้การในชั้นศาล ซึ่งในทางปฏิบัติพนักงานสอบสวนจะรวบรวมพยานหลักฐานฝ่ายผู้เสียหายเป็นหลักมากกว่าที่จะดำเนินการรวบรวมข้อเท็จจริงพยานหลักฐานของฝ่ายผู้ต้องหาหรือจำเลย จำเลยทั้งสองจึงต้องนำพยานทั้งสองมาเบิกความในชั้นพิจารณาเพื่อขอความเป็นธรรมจากศาล ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 วินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 ไม่ได้อ้างนางคอตัมเสียตั้งแต่ในชั้นสอบสวน เป็นข้อวินิจฉัยที่คลาดเคลื่อน นั้น เห็นว่า เมื่อพันตำรวจตรีกิตติ์พิพัฒน์พนักงานสอบสวนมาเบิกความเป็นพยานโจทก์และโจทก์ร่วม จำเลยทั้งสองไม่ได้ถามค้านถึงข้อเท็จจริงตามที่อ้างมาในฎีกา ข้ออ้างตามฎีกาจำเลยทั้งสองเป็นการเลื่อนลอย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 วินิจฉัยว่า ข้ออ้างฐานที่อยู่ของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น แล้วพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น
  1. ฐานะพยานบุคคลมีน้ำหนักน่าเชื่อถือไหม

ถ้าเป็นพยานคนกลาง เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ไม่มีส่วนได้เสียก็มีน้ำหนักน่าเชื่อถือ แต่ถ้าเป็นเพื่อน ญาติ คนรู้จัก มีส่วนได้เสีย ก็มีน้ำหนักน้อย และไม่น่าเชื่อถือ

ตัวอย่างเช่น 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4514/2562

ส่วนที่จำเลยที่ 1 นำสืบอ้างฐานที่อยู่ในขณะเกิดเหตุว่าอยู่ที่จังหวัดตรังโดยมีนายทองคำเป็นพยานเบิกความรู้เห็นนั้น เห็นว่า นายทองคำเป็นพี่ของจำเลยที่ 1 ไม่ใช่พยานคนกลาง เชื่อว่าเบิกความเพื่อช่วยเหลือจำเลยที่ 1 ให้ไม่ต้องรับโทษ คำเบิกความมีน้ำหนักน้อยไม่อาจรับฟัง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9797/2560

ที่จำเลยฎีกาอ้างฐานที่อยู่ แม้จำเลยจะมีนาย ก. นางสาว ฉ. และนางสาว ด. มาเบิกความเป็นพยาน แต่นาย ก. เป็นคนรู้จักกันกับจำเลย นางสาว ฉ. และนางสาว ด. เป็นญาติจำเลย จึงอาจเบิกความช่วยเหลือเข้าข้างจำเลยก็เป็นได้ จึงไม่น่ารับฟังและไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8069/2556

ส่วนที่จำเลยนำสืบปฏิเสธอ้างฐานที่อยู่ว่า ในวันเกิดเหตุคดีนี้จำเลยได้ไปรับจ้างกรีดยางพารากับนางละมุล ซึ่งเป็นป้าจำเลย ระหว่างนั้นพักที่บ้านนางละมุลตลอด โดยมีนางละมุลเบิกความสนับสนุนคำของจำเลยนั้น ไม่น่าเชื่อเพราะนางละมุลอาจเบิกความช่วยเหลือจำเลยซึ่งเป็นหลานก็ได้ ทั้งน่าเชื่อว่า หลังจากจำเลยก่อเหตุใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายแล้วจึงหลบหนีไปรับจ้างกรีดยางพารากับนางละมุลมากกว่า

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6151/2555 คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7262/2554

  1. ลักษณะคำให้การของพยานบุคคล

  • ลักษณะเนื้อหาจะสามารถยืนยันฐานที่อยู่ได้ตลอดเวลาอย่างชัดเจนไหม
  • มีการเบิกความขัดแย้งกับเหตุผลความน่าจะเป็นหรือเปล่า

ตัวอย่างเช่น 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4437/2531

สำหรับพยานฐานที่อยู่ของจำเลยก็ได้ความจากนายบุญดิษฐ์วรินทร์รักษ์ ผู้บังคับบัญชาจำเลยซึ่งมาเบิกความเป็นพยานจำเลยว่าเห็นจำเลยในวันเกิดเหตุครั้งสุดท้ายเมื่อเวลาประมาณ 15.30 นาฬิกาอันเป็นเวลาราชการ หลังจากนั้นนายบุญดิษฐ์ก็ไม่เห็นจำเลยอีก แต่เวลาที่เกิดเหตุปรากฏจากคำเบิกความของนางเกตุมารดาผู้ตายว่าผู้ตายมาถึงที่นาที่บิดามารดาผู้ตายทำสวนเมื่อเวลาประมาณ 16 นาฬิกาผู้ตายเก็บผักบุ้งอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมงจึงขี่รถจักรยานกลับดังนั้น เวลาเกิดเหตุจึงเป็นเวลาหลังจาก 17 นาฬิกา คำเบิกความของนายบุญดิษฐ์จึงไม่เป็นประโยชน์แก่จำเลยแต่ประการใด (ไม่สามารถยืนยันได้ว่าไม่อยู่ในเวลาเกิดเหตุ)

ส่วนนายจรูญ ศรีตะวัน ซึ่งเบิกความเป็นพยานจำเลยว่า ไปสูบน้ำที่บ้านจำเลยไปใส่แท็งก์น้ำตั้งแต่ 15 นาฬิกา แต่เหตุไฉนจึงกลับไปจากบ้านจำเลยเมื่อเวลา 17 นาฬิกา จึงไม่น่าเชื่อว่าการสูบน้ำเพื่อเอาไปใส่แท็งก์น้ำของโรงเรียนจะต้องใช้เวลาถึง 2 ชั่วโมงพยานฐานที่อยู่ของจำเลยจึงรับฟังไม่ได้ (ให้การขัดแย้งกับเหตุผล) ข้อเท็จจริงที่ปรากฏจากพยานวัตถุซึ่งพบในที่เกิดเหตุฟังได้ว่าจำเลยเป็นผู้กระทำผิดดังฟ้องฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8764/2554

ที่จำเลยทั้งสองนำสืบต่อสู้อ้างฐานที่อยู่ โดยจำเลยที่ 1 เบิกความอ้างว่า ขณะเกิดเหตุอยู่ที่บ้าน โดยมีนายอดิสร มาเบิกความสนับสนุนนั้น นายอดิสรแม้จะเป็นบุคคลภายนอก แต่ก็เบิกความเพียงว่าก่อนเกิดเหตุหนึ่งวันจำเลยที่ 1 ขับรถบรรทุกถมดินสร้างอาคารโรงเรียนรัษฎาที่พยานเป็นเจ้าของ เห็นชัดว่าพยานปากนี้ไม่รู้เห็นและไม่อาจยืนยันได้ว่าขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1 อยู่ที่ใด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 50/2562

นอกจากนี้ที่จำเลยนำสืบปฏิเสธอ้างฐานที่อยู่ว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยขับรถจักรยานยนต์มาจอดอยู่ที่หน้าบริษัทวัสดุภัณฑ์คอนกรีต จำกัด และนายศิริวิริยะกับนายพิสุทธิ์หรือโด้ มาพบจำเลยแจ้งให้ทราบว่าเกิดเหตุยิงกันที่บ้านของผู้เสียหายทั้งสอง โดยมีนายวิมล และนายศิริวิริยะมาเบิกความเป็นพยานนั้น ก็ปรากฏตามบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนเอกสารหมาย จ. 29 ว่านายวิมลให้การว่านายพิสุทธิ์เพียงคนเดียวมาพบจำเลยและขับรถจักรยานยนต์ไปด้วยกัน กับตามบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนเอกสารหมาย จ. 30 และ จ. 31 นายศิริวิริยะและนายพิสุทธิ์ไม่ได้ให้การว่าหลังเกิดเหตุที่บ้านของผู้เสียหายทั้งสองแล้วบุคคลทั้งสองได้ไปพบจำเลยที่บริเวณหน้าโรงงานดังกล่าว พยานหลักฐานที่อยู่ของจำเลยจึงไม่มีน้ำหนักควรแก่การรับฟัง (พยานบุคคลให้การขัดแย้งกันเอง)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4166/2547 ส่วนที่จำเลยอ้างฐานที่อยู่ว่าจำเลยมิได้อยู่ในห้องพัก โดยมีนายสมานเบิกความว่า พยานเห็นจำเลยนั่งดื่มสุรากับพวกของจำเลยที่สโมสรตั้งแต่เวลา 18 นาฬิกา พยานอยู่ช่วยภริยาขายของที่สโมสรจนเวลา 20 นาฬิกา และมีนายชูชาติมาเบิกความว่า พยานเล่นสนุกเกอร์กับจำเลยตั้งแต่เวลา 20 นาฬิกา จนถึง 23 นาฬิกา จึงเลิกเล่น เห็นว่า จำเลยถูกจับหลังเกิดเหตุเพียง 1 วัน พยานบุคคลที่อยู่กับจำเลยขณะเกิดเหตุเช่นนายสมาน นายชูชาติ ย่อมจำได้และสามารถยืนยันความบริสุทธิ์ให้แก่จำเลย แต่จำเลยก็มิได้ให้การถึงรายละเอียดพร้อมอ้างพยานบุคคลดังกล่าวต่อพนักงานสอบสวน ที่นายชานนท์พยานจำเลยเบิกความว่า ขณะที่ผู้เสียหายมาส่งเสื้อผ้าให้จำเลยนั้น พยานคุยอยู่กับนายประสานและเพื่อนที่ระเบียงห้องพัก จำเลยไม่ได้อยู่ในห้อง พยานเห็นผู้เสียหายโยนผ้าเข้าไปในห้องของจำเลยแล้วกลับไป ต่อมาผู้เสียหายกลับมาอีกพร้อมด้วยเสื้อแล้วโยนเสื้อเข้าไปในห้องของจำเลยอีกแล้วกลับไปแต่นายประสานเบิกความว่าผู้เสียหายมาส่งผ้าให้จำเลยแล้วปรากฏว่าผ้าไม่ใช่ของจำเลย ผู้เสียหายจึงนำเสื้อผ้ากลับไป ประมาณ 5 นาที ผู้เสียหายกลับมาส่งให้จำเลยใหม่อีก ซึ่งขณะนั้นจำเลยไม่ได้อยู่ในห้องแล้ว พยานปากนี้แสดงว่าตอนแรกจำเลยยังอยู่ในห้องพัก และพบผู้เสียหาย ผู้เสียหายจึงทราบว่าผ้าไม่ใช่ของจำเลย พยานคู่สองปากนี้เบิกความแตกต่างขัดแย้งกันเอง ไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง

  1. มีพยานหลักฐานอื่นๆนำสืบประกอบหรือไม่ 

ถ้านำสืบปากเดียวลอยๆอาจจะไม่ค่อยมีน้ำหนัก นอกจากมีพยานบุคคลแล้วก็ควรจะต้องมีพยานเอกสารพยานวัตถุมายืนยันด้วย

ตัวอย่างเช่น 

  • คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1952/2561จำเลยนำสืบต่อสู้อ้างฐานที่อยู่นั้น จำเลยก็มีเพียงตัวจำเลยเบิกความปากเดียวลอยๆ โดยไม่มีพยานหลักฐานอื่นมาสนับสนุน จึงมีน้ำหนักน้อย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4754 – 4755/2565จำเลยที่ 1 นำสืบปฏิเสธโดยอ้างฐานที่อยู่ว่า ในคืนเกิดเหตุจำเลยที่ 1 อยู่ที่บ้านทั้งคืนไม่ได้ออกไปไหน จำเลยที่ 1 ไม่เคยไปที่บ้านของผู้ตายทั้งสองนั้น เป็นเรื่องที่ง่ายต่อการกล่าวอ้าง จำเลยที่ 1 ไม่มีพยานหลักฐานอื่นใดสนับสนุน จึงไม่ทำให้มีน้ำหนักรับฟังหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วมได้

  • คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9769/2556เมื่อจำเลยนำสืบปฏิเสธโดยอ้างฐานที่อยู่ลอย ๆ โดยไม่มีพยานบุคคลซึ่งมิได้ให้การไว้ในชั้นสอบสวนมาเบิกความเป็นพยาน พยานหลักฐานของจำเลยจึงไม่มีน้ำหนักรับฟังหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้
  1. พยานเอกสาร-พยานวัตถุมีน้ำหนักน่าเชื่อถือแค่ไหน

กรณีมีพยานเอกสารหรือพยานวัตถุมายืนยันก็ต้องรู้ว่าพยานเอกสารหรือพยานวัตถุนั้นมีน้ำหนักน่าเชื่อถือมากแค่ไหน

กรณีเป็นเอกสารเอกชนที่ทำขึ้นภายในบางครั้งศาลก็ไม่เชื่อถือ

ตัวอย่างเช่น 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1816/2552

แม้จำเลยนำสืบปฏิเสธอ้างฐานที่อยู่และแสดงหลักฐานว่าทำงานที่อื่นตามเอกสารหมาย ล.4 ถึง ล.6 แต่เป็นเอกสารที่ทำขึ้นเป็นการภายใน บางฉบับเป็นภาพถ่ายเอกสารและบางฉบับระบุว่าเป็นปี 2546 เป็นพิรุธ ประกอบกับไม่มีเพื่อนร่วมปฏิบัติงานกับจำเลยมาเบิกความสนับสนุนทำให้ไม่มีน้ำหนัก

พยานเอกสารหรือพยานวัตถุบางประเภทก็ไม่สามารถยืนยันได้อย่างชัดเจนว่าจำเลยไม่อยู่ในที่เกิดเหตุในวันและเวลาเกิดเหตุ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 11530/2555

ส่วนรูปภาพขณะนั่งรับประทานอาหาร คงบอกเล่าเรื่องราวได้เพียงว่ามีการรับประทานอาหารในร้านอาหารแห่งหนึ่งในคืนวันที่ 9 มิถุนายน 2550 เท่านั้น จึงมิใช่เป็นหลักฐานที่จะสามารถยืนยันได้มั่นคงว่าก่อนหน้านั้นจำเลยมิได้ไปพบและจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนให้แก่นายสมโภช ทำให้ไม่มีน้ำหนักเพียงพอให้รับฟังหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายกฟ้องโจทก์นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น

พยานหลักฐานบางประเภทก็มีพิรุธบกพร่องในตัวของมันเอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9/2545

ที่จำเลยนำสืบอ้างฐานที่อยู่และส่งบัตรโดยสารเครื่องบินเป็นพยานนั้น ปรากฏว่าบัตรดังกล่าวมีรอยลบเป็นพิรุธ ส่วนคำเบิกความของพันตำรวจโทสมเกียรติสุรินทร์ พยานจำเลยก็ได้ความแต่เพียงว่าพันตำรวจโทสมเกียรติเช่ารถยนต์ตู้ของจำเลยให้ไปส่งที่จังหวัดแม่ฮ่องสอนในวันที่ 21 พฤศจิกายน2539 แต่ได้เลื่อนเป็นวันที่ 23 เดือนปีเดียวกัน ในวันที่ 21 จึงให้จำเลยพาคณะไปเที่ยวภายในจังหวัดลำปาง คำเบิกความดังกล่าวก็ไม่อาจยืนยันว่าคืนวันเกิดเหตุจำเลยอยู่ ณ ที่ใด ทั้งการเดินทางจากจังหวัดอ่างทองไปยังจังหวัดลำปางระยะเวลาเดินทางสามารถใช้เวลาเดินทางไปถึงได้ในคืนเดียว สำหรับใบเสร็จรับเงินของโรงแรมบุรวงศ์เอกสารหมายล.1 ที่จำเลยส่งอ้างเพื่อแสดงว่าจำเลยพักอยู่ที่โรงแรมดังกล่าวในคืนเกิดเหตุนั้นมีรอยเขียนทับวันที่ที่ออกใบเสร็จรับเงินเป็นพิรุธ พยานจำเลยไม่อาจหักล้างพยานโจทก์ได้ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาลงโทษจำเลยมานั้นชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น

  1. หลักเกณฑ์การต่อสู้การอ้างฐานที่อยู่ให้มีน้ำหนัก

มีตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกาที่ยกมาอยู่ 2 ตัวอย่าง ซึ่งอธิบายเกี่ยวกับแนวทางการนำสืบในเรื่องฐานที่อยู่ได้อย่างดี

 คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 49/2535

ข้ออ้างถึงฐานที่อยู่ของจำเลย จำเลยก็บอกแก่เจ้าพนักงานตำรวจเมื่อไปดูตัวครั้งแรกและปฏิเสธตลอดมา ในชั้นพิจารณานอกจากจำเลยอ้างตนเองเบิกความยืนยันแล้ว จำเลยมีนางสาวธนาพรศิริวงษ์ชัย เสมียนของนายทองใบ โพธิ์ทอง ผู้รับเหมาก่อสร้างโรงงานบริษัท ยู ซี เอ จำกัด นายอโนทัย ศรีหิรัญ นายวีระศักดิ์ดอนขาวไพร (คนละคนกับนายวีระศักดิ์ มาลาดาษ ซึ่งทำงานอยู่บริษัท ช.สยามโลหะภัณฑ์ จำกัด) คนงานของนายทองใบมาเบิกความเป็นพยานและมีบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนของนายสมปอง โพธิ์ทองน้องชายของนายทองใบ โพธิ์ทอง เจ้าของผู้รับเหมาก่อสร้างโรงงาน บริษัท ยู ซี เอจำกัด เอกสารหมาย ล.3 กับมีสมุดการทำงาน การจ่ายเงิน เอกสารหมาย ล.1และสมุดพกการคุมเวลาการทำงาน เอกสารหมาย ล.2 มาแสดงเป็นหลักฐานว่าวันเวลาเกิดเหตุจำเลยทำงานในงานก่อสร้างโรงงานบริษัท ยู ซี เอ จำกัดในซอยวัดกิ่งแก้ว ซึ่งพยานจำเลยดังกล่าวล้วนแต่เป็นคนภายนอก หากไม่เป็นความจริง คงไม่กล้ามาเบิกความต่อศาล ส่วนเอกสารหมาย ล.1 ถึงล.2 ก็ล้วนแต่เป็นพยานหลักฐานน่าเชื่อถือ เพราะมีสภาพเป็นเล่มเก่าและมีรายชื่อจำเลย พยานจำเลยและคนงานอื่นเกือบ 100 คน แสดงการมาทำงานและลงชื่อรับเงินไว้ด้วย ไม่มีสภาพทำขึ้นภายหลังเพื่อช่วยเหลือจำเลย เมื่อพิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์ โจทก์ร่วมกับพยานหลักฐานจำเลยแล้ว คดีจึงมีเหตุสงสัยตามสมควรว่าจำเลยได้กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลย ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาจำเลยฟังขึ้น”

 คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4385/2562

เมื่อคดีโจทก์มีประจักษ์พยานยืนยันการกระทำความผิดของจำเลยได้อย่างหนักแน่น การอ้างฐานที่อยู่เพื่อหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ จำเลยจึงต้องมีพยานหลักฐานที่ทำให้ไม่อาจคิดเห็นได้เป็นอย่างอื่นว่าจำเลยอยู่ ณ สถานที่แห่งนั้นในขณะเกิดเหตุมานำสืบสนับสนุน แต่พยานหลักฐานจำเลยล้วนมีแต่พยานบุคคลซึ่งตามปกติจักต้องรับฟังด้วยความระมัดระวังเนื่องจากอาจเป็นพยานที่มาเบิกความช่วยเหลือจำเลยได้ ดังนี้เมื่อปรากฏว่าพยานจำเลยดังกล่าวเบิกความขัดแย้งแตกต่างกันดังข้อวินิจฉัยของศาลชั้นต้น เพราะเมื่อพยานแต่ละปากต่างยืนยันว่าอยู่กับจำเลยที่บ้านโดยตลอด แล้วเหตุใดพยานทั้งสองจึงไม่ได้พบกัน ข้อแตกต่างในคำพยานจำเลยลักษณะนี้จึงไม่มีน้ำหนักในการรับฟัง

สรุป การต่อสู้คดีประเด็นเรื่องฐานที่อยู่ 

  1. จะต้องมีการให้การไว้อย่างชัดเจนในชั้นสอบสวน
  2. ถ้ามีพยานบุคคล พยานเอกสารหรือพยานวัตถุอะไรก็ควรอ้างส่ง และพาไปให้การตั้งแต่ในชั้นสอบสวนเลย
  3. พยานบุคคลควรจะเป็นคนกลาง
  4. เนื้อหาคำเบิกความของพยานบุคคล จะต้องยืนยันได้อย่างชัดเจนว่าเราไม่อยู่ในที่เกิดเหตุในวันและเวลาเกิดเหตุ
  5. พยานเอกสารหรือพยานวัตถุต้องมีคุณค่าเชิงพิสูจน์ยืนยันได้ชัดเจนว่าเราไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุ ในวันและเวลาเกิดเหตุ

 

Express your opinion about this article

comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น